วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

กระตุ้นเศรษฐกิจแบบมินิมอลลิสต์


เขียนโดย Joshua Fields Millburn & Ryan Nicodemus 
บทความต้นฉบับ Stimulate the Economy Like a Minimalist


(ขอยืมภาพจาก http://forum.aljazeera.net/forum-2015/programme/seminars/economic-aspect-conflict)


               หากทุกคนหยุดใช้เงินกะทันหัน ระบบเศรษฐกิจของพวกเราคงล่มสลาย นั่นเป็นสิ่งชัดเจน ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นหนึ่งในข้อโต้แย้งที่มีหนักแน่นที่สุดที่ทำให้คนจำนวนมากต่อต้านมินิมอลลิสม์ หากทุกคนกลายเป็นมินิมอลลิสต์ พวกเราคงถึงจุดจบ ระบบการเงินรูปแบบปัจจุบันคงล่มสลาย แล้วเราจะไม่มีเงินมากพอจะซื้อสินค้าพลาสติกราคาถูกจากห้าง walmart

                ทัศนคติแบบนี้มีปัญหาบางอย่าง ซึ่งบางอย่างก็เห็นได้ชัด แต่บางอย่างก็ยากจะเข้าใจ

                อย่างแรก ไม่มีคนสติดีที่ไหนบอกว่าเราควรหยุดใช้จ่ายหรือหยุดบริโภค การบริโภคไม่ใช่ปัญหา บริโภคนิยมต่างหากที่เป็นปัญหา มันคือการบังคับ ไร้ชีวิตชีวา เป็นอันตราย ใจเร็วด่วนได้ ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด สิ่งที่แย่ที่สุดคือ มันดึงดูดใจ บริโภคนิยมสัญญาว่าจะมอบให้เรามากกว่าที่มันทำได้จริง เพราะความรัก ความสุข ความอิ่มเอม ความพึงพอใจ ล้วนเป็นความรู้สึกภายใน ที่ไม่อาจทำให้กลายเป็นสินค้าได้ ความจริงคือเมื่อเรามีสิ่งของเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐาน การครอบครองของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติม ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นเพียงแค่นิดเดียว

                การใช้บริโภคนิยมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เหมือนการซ่อมกระจกแตกด้วยการใช้ค้อนทุบ ซึ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลง การแลกเปลี่ยนเป็นส่วนสำคัญในทุกสังคม อย่างไรก็ตาม มินิมอลลิสม์ไม่มีนโยบายขัดขวางบริโภคนิยม มินิมอลลิสม์ให้ความใส่ใจในการซื้อของอย่างรอบคอบ

                มินิมอลลิสต์ลงทุนกับประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ การเดินทางท่องเที่ยว คอนเสิร์ตอินดี้ วันหยุดพักผ่อน ชมละครท้องถิ่น และอื่นๆ พวกเราสามารถใช้เงินโดยไม่ต้องครอบของสิ่งของชิ้นใหม่

                มินิมอลลิสต์ซื้อข้าวของใหม่อย่างระมัดระวัง เราต้องถามคำถามที่ดีกว่าเมื่อจะซื้อของ เช่น ของชิ้นนั้นเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของฉันหรือไม่

                มินิมอลลิสต์สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ธุรกิจในครัวเรือน ธุรกิจแบบอินดี้ ธุรกิจประเภทนี้มีแรงจูงใจในการแสวงหาผลกำไรน้อยกว่า แน่นอนว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำเงินเพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด ทว่าการได้เงินสักเหรียญไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดของร้านหนังสือ ร้านอาหาร หรือร้านจักรยานท้องถิ่น พวกเขาทำธุรกิจเพราะหลงใหลในการผลิตสินค้าและให้บริการนั้นๆ และต้องการแบ่งปันความหลงใหลกับผู้มีอุปการคุณ ความหลงใหลทำให้เกิดสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีกว่า ซึ่งควรค่ากับเงินที่พวกเขาได้รับ

                ที่สุดแล้ว มินิมอลลิสต์ไม่สนใจ “กระตุ้น” เศรษฐกิจ การกระตุ้นเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน พวกเราปรับปรุงพัฒนาเศรษฐกิจให้มีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว โดยตัดสินใจบริโภคให้รอบคอบขึ้นในฐานะปัจเจกชน พวกเราจะสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกว่า ซึ่งตั้งอยู่บนความรับผิดชอบส่วนตัวและการร่วมมือร่วมใจในชุมชน ไม่ใช่ความรู้สึกรีบร้อนจอมปลอม และการสะสมขยะโดยไม่ยั้งคิด ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีตั้งแต่แรก

บทความที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ (1)

เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ (2)

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

แนวทางการซื้อของให้น้อยลง และซื้ออย่างรอบคอบมากขึ้น



             ปัจจุบันนี้การซื้อของทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก และสินค้าก็ราคาถูกลง (บางอย่างคุณภาพก็ลดลงตามราคา) ทำให้เราซื้อสินค้าได้มากขึ้น ผลก็คือเรามีสิ่งของมากเกินไป การจะรักษาสภาพที่อยู่อาศัยไม่ให้รกรุงรัง เราจำเป็นต้องซื้อของอย่างรอบคอบ ในปริมาณที่เหมาะสม ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีการซื้อของให้น้อยลง และซื้ออย่างรอบคอบมากขึ้น จากมินิมอลลิสต์หลายๆ คน บวกกับความเห็นของตัวเอง ได้เป็นวิธีการต่างๆ ดังนี้


(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/479703797804585951)


                1. ทำรายการของที่ต้องการซื้อไว้ล่วงหน้า
                การทำรายการรายการของที่ต้องการซื้อไว้ล่วงหน้า แล้วไปซื้อของตามรายการที่ทำไว้ ทำให้เราซื้อของอย่างมีจุดมุ่งหมาย สิ่งสำคัญคือพยายามซื้อของตามรายการอย่างเคร่งครัด เลี่ยงการซื้อของที่อยู่นอกเหนือรายการ พกรายของที่ต้องการซื้อติดตัวไว้เสมอ เมื่อคิดจะซื้อบางอย่าง ให้นำรายการออกมาดูว่าของชิ้นนั้นเป็นของที่อยู่ในรายการไหม หากไม่ใช่ก็ไม่ควรซื้อ

                2. อย่าซื้อของทันที
                หากเจอของที่ไม่ได้อยู่ในรายการที่ต้องซื้อ แต่เกิดนึกเหตุผลที่จำเป็นต้องมีของชิ้นนั้นขึ้นมาได้ อย่ารีบซื้อในทันที ให้ใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบ ถึงเหตุผลที่ควรซื้อ ปล่อยเวลาไว้สักพัก ถ้ายังมีเหตุผลที่ดีที่จะซื้อ ก็ขอให้หาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาสินค้าจากแหล่งต่างๆ ก่อน คุณอาจได้ของที่คุณภาพดีกว่า และราคาถูกกว่าจากแหล่งอื่น ส่วนสิ่งของที่ไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องซื้อ แต่เป็นของที่ก่อให้เกิดความสุข อย่าซื้อในทันที ขอให้ปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก มีความเป็นไปได้ 2 กรณี อย่างแรกคือคุณจะลืมของชิ้นนั้น อย่างที่สองคือของชิ้นนั้นจะวนเวียนอยู่ในความคิดของคุณเรื่อยๆ ผู้เขียนซื้อแก้วน้ำเจ้าหญิงเบลล์ หลังจากแก้วน้ำใบนี้วนเวียนอยู่ในความคิดมา 3 เดือน พอซื้อมาแล้วก็ใช้แก้วใบนี้ทุกวันที่อยู่บ้าน เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ถ้าของชิ้นนั้นไม่มีความหมายต่อคุณจริงๆ มันจะไม่วนเวียนอยู่ในความคิดของคุณนานนัก แต่ถ้ามันอยู่นาน ก็แสดงว่ามันมีความหมายต่อคุณ

                3. ไม่ซื้อของในขณะมีอารมณ์ความรู้สึก
                เมื่อเรามีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง การใช้เหตุผลจะมีประสิทธิภาพต่ำลง ช่วงเวลาที่เราอยู่ในความรู้สึกทุกข์ อย่างความรู้สึกเศร้า เหงา หดหู่ หงุดหงิด น้อยใจ เสียใจ ว่างเปล่า สับสน เรามักอยากให้ความทุกข์ยุติลง อยากแสวงหาความสุขมาแทนที่ เป็นไปได้มากว่าเราจะทำบางอย่าง เพื่อให้ได้รับความสุขอันรวดเร็วทันใจ การซื้อของคือหนึ่งในสิ่งผู้คนชอบทำ เพื่อทำให้ได้รับความสุข การซื้อของทำให้เรารู้สึกมีอำนาจ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เราอาจซื้อของเพราะคิดว่ามันจะแก้ไขความรู้สึกทุกข์บางอย่าง ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง เพราะสิ่งของทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์ภายนอก แต่ไม่อาจแก้ไขความรู้สึกอันเป็นนามธรรมได้ การซื้อของขณะมีอารมณ์ความรู้สึก มักไม่ผ่านการใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ของที่ซื้อไปจึงมักให้ความสุขเพียงชั่ววูบ ไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เมื่ออยู่ในภาวะสงบ เราอาจเกิดคำถามว่า “ฉันซื้อของเหล่านี้มาทำไม” ในทางตรงข้าม ตอนที่เราอารมณ์ดี เราก็มักซื้อของง่ายขึ้นเช่นกัน เราจะใช้เหตุผลได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในสภาวะสงบเป็นกลาง จึงไม่ควรซื้อของในขณะมีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็ตาม

                4. ทำให้การซื้อยุ่งยากเข้าไว้
                ปัจจุบันการซื้อของทำได้ง่ายมาก มีห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกผุดขึ้นมากมาย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถไปยังร้านค้าเหล่านั้นได้ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้การซื้อของออนไลน์เป็นเรื่องง่าย การจ่ายเงินออนไลน์ทำให้การซื้อว่องไวยิ่งขึ้น เราสามารถซื้อของมายมายจากที่บ้าน เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมากด ปัจจุบันการซื้อของง่ายขึ้นมาก ทำให้ไม่ต้องใช้ความพยายามในการซื้อ เมื่อไม่ต้องใช้ความพยายาม จึงทำให้เราขาดโอกาสใคร่ครวญ ว่าเราต้องการของชิ้นนั้นจริงหรือไม่ หากการซื้อของต้องใช้ความพยายามมาก จะทำให้เราได้ใช้เวลาใคร่ครวญว่าของชิ้นนั้นเป็นที่ต้องการจริงหรือไม่ หากไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เราก็จะไม่ยอมลำบากเพื่อซื้อมันมา คำแนะนำต่อไปนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ขอให้ลองพิจารณาดู วิธีเหล่านี้จะทำให้การซื้อของยุ่งยากขึ้น ใช้การเดินไปซื้อของแทนการนั่งรถ คุณจะไปยากขึ้น และซื้อของได้น้อยลงเพราะหนัก ซ่อน short cut แอ๊ปช็อปปิ้งให้พ้นจากสายตา ไม่ sing in แอ๊ปช็อปปิ้งออนไลน์ทิ้งไว้ คุณอาจลืมรหัสผ่านไปเลยหากไม่ได้ใช้นานๆ ไม่ใช้ I banking จะได้โอนเงินยากๆ คุณอาจล้มเลิกความตั้งใจซื้อของชิ้นนั้น เพราะขี้เกียจเดินไปหาตู้ ATM


(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/413627547017829599)


                5. คิดให้รอบคอบก่อนซื้อของเพราะมีโปรโมชั่น
                ผู้ขายมักใช้โปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เราซื้อของมากขึ้น หรือซื้อของที่ไม่ได้ต้องการจริงๆ เช่น โปรซื้อ 2 แถม 1 จำเป็นต้องพิจารณาว่าของชิ้นนั้นเราสามารถใช้หมด ก่อนหมดอายุหรือไม่ มีเพื่อนที่ต้องการของเหมือนกัน มาหารกับเราไหม รวมทั้งพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย บางครั้งโปรแบบนี้ก็ทำให้ได้ของที่ต้องการในราคาที่ถูกลง แต่บางทีก็ทำให้ซื้อของมากเกินจำเป็น โปรซื้อของครบจำนวน...แล้วจะได้ของแถม ให้คิดให้ดีว่าของแถมชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือไม่ น้อยครั้งมากที่ของแถมจะบังเอิญเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ โปรแบบนี้กระตุ้นให้คุณซื้อของมากขึ้นกว่าที่ตั้งใจเพื่อให้ได้ของแถม หากของแถมชิ้นนั้นบังเอิญเป็นของที่คุณต้องการ ให้พิจารณาว่าการซื้อของชิ้นนั้นจากแหล่งอื่นคุ้มค่า และตรงความต้องการมากกว่าไหม โปรลดราคา กระตุ้นให้เราอยากซื้อเพราะความถูก ทั้งที่ของชิ้นนั้นไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เหมือนเราซื้อ “ความถูก” มากกว่าซื้อของ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ

                6. ไม่คลิกดูโฆษณาออนไลน์
                เดี๋ยวนี้โฆษณาเข้ามาหาเราจากหลายช่องทาง ทั้ง Facebook ทั้ง Youtube รวมทั้งเว็บไซต์ทั้งหลาย เมื่อเราเสิร์จหาข้องมูลต่างๆ การค้นหาของเราจะถูกบันทึกไว้ แล้วแอ๊ปกับเว็บไซต์ต่างๆ ก็จะส่งโฆษณาสินค้ามาให้ ทั้งที่เราไม่ได้ขอ การเสิร์จหาข้อมูลโดยใช้ browser ที่ไม่ระบุตัวตนจะช่วยหลีกเลี่ยงการถูกแอบบันทึกข้อมูลได้บ้าง พยายามอย่าคลิกเข้าไปดูโฆษณาที่แอ๊ปกับเว็บไซต์ต่างๆ ส่งมา ไม่หาข้อมูลสินค้าหรือดูภาพในยามว่าง เว้นแต่ต้องการซื้อจริงๆ เพราะการหาข้อมูลสินค้าไปเรื่อยๆ จะกระตุ้นให้อยากซื้อ แล้วก็จะได้ซื้อจริงๆ

                7. เลือกปริมาณมากกว่าคุณภาพ
                ของที่น่าปรารถนาที่สุดคือของที่ราคาถูกและคุณภาพดี แต่หากต้องเลือกระหว่างของคุณภาพแย่ราคาถูกตามคุณภาพจำนวนมาก กับของคุณภาพดีราคาสูงตามคุณภาพในจำนวนน้อย มินิมอลลิสม์สนับสนุนให้เลือกแบบหลัง เพราะไม่ต้องการมีข้าวของจำนวนมาก เปลืองพื้นที่จัดเก็บ และไม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร ของคุณภาพดีมักคงทนกว่า ทำให้ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อยๆ

                8. เลือกซื้อของที่ใช้งานได้หลากหลายในชิ้นเดียว
                ก่อนจะมีsmart phone เราจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เฉพาะด้าน ทั้งกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์  นาฬิกา เครื่องคิดเลข แต่พอมีสมาร์ทโฟนก็ไม่ต้องซื้อของหลายชิ้นอีกต่อไป เพราะสามารถทำหลายอย่างได้ในเครื่องเดียว ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ หากจะซื้อของขอให้พยายามซื้อของที่ทำงานได้หลายอย่างในชิ้นเดียว เช่นเครื่องปริ้นที่สแกนและถ่ายเอกสารได้ ปากกาที่มีหลายสีในแท่งเดียว แชมพูที่ใช้อาบน้ำได้ด้วย เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

แนวทางการเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น



บทความต้นฉบับ A Helpful Guide to Stop Comparing Yourself to Others
เขียนโดย Joshua Becker


“การเปรียบเทียบคือโจรปล้นความสุข”
Theodore Roosevelt


(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/302093087497467519)



                ผมเคยกระเสือกกระสนมาทั้งชีวิต ส่วนใหญ่ผมมักโทษที่ตัวเองมีพี่ชายฝาแฝดที่ตัวสูงกว่า 5 นิ้ว และมีไหล่กว้างกว่า หากผมซื่อตรง ความจริงคือผมมีข้อบกพร่องในบุคลิกบางอย่าง ที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในใจ

                ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่เอาแต่เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น เริ่มจากเรื่องในโรงเรียนและกีฬา เมื่อเติบโตขึ้น ก็เริ่มเปรียบเทียบด้านอื่นๆ ทั้งตำแหน่งงาน เงินเดือน ขนาดของบ้าน รวมทั้งความสำเร็จทางโลกอื่นๆ ผมพบว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายไม่สิ้นสุดให้เปรียบเทียบกับคนอื่น มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนให้เปรียบเทียบกับตัวเอง เมื่อเราเริ่มเปรียบเทียบ เราจะไม่มีวันพบจุดจบ

                แนวโน้มชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น คือธรรมชาติของมนุษย์เช่นเดียวกับอารมณ์อื่นๆ ที่จริงไม่ใช่ผมคนเดียวที่มีประสบการณ์แบบนี้ การเปรียบเทียบมีแต่ขโมยความสุขไปจากชีวิตของเรา ทั้งยังนำข้อเสียอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

                1. การเปรียบเทียบอยุติธรรมเสมอ เรามักเปรียบเทียบสิ่งที่แย่ที่สุดที่เรารู้เกี่ยวกับตัวเอง กับสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทึกทักว่าผู้อื่นมี

                2. การเปรียบเทียบต้องมีคำจำกัดความ และต้องการเครื่องชี้วัด มีเพียงคนโง่เท่านั้น ที่เชื่อว่าสิ่งดีๆ ทุกอย่างสามารถชั่งตวงวัดได้

                3. การเปรียบเทียบขโมยเวลาอันมีค่าของเราไป ทุกคนมีเวลา 86,400 วินาทีในแต่ละวัน การใช้เวลาแม้เพียง 1 วินาที เปรียบเทียบความสำเร็จของคุณกับผู้อื่น ก็นับว่ามากเกินไปแล้ว

                4. คุณมีเอกลักษณ์เกินกว่าจะเปรียบเทียบอย่างเสมอภาคได้ ทั้งศักยภาพ พรสวรรค์ ความสำเร็จ ผลงาน คุณค่า ล้วนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคุณเท่านั้น พวกมันคือจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ของคุณ จึงไม่สมควรนำไปเปรียบเทียบกับใคร

                5. คุณจะไม่ได้รับอะไร มีแต่จะเสีย ทั้งความภาคภูมิใจ เกียรติ แรงผลักดัน รวมทั้งความปรารถนาจากภายใน

                6. การเปรียบเทียบไม่มีทางสิ้นสุด นิสัยชอบเปรียบเทียบไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยการประสบความสำเร็จ จะมีบางคนหรือบางสิ่งให้เปรียบเทียบต่อไป

                7. การเปรียบเทียบให้ความสนใจผิดคน คุณสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้เท่านั้น แต่เมื่อเราเปรียบเทียบกับผู้อื่นเป็นนิจ เราได้เสียเวลาอันมีค่าไปสนใจชีวิตของผู้อื่น แทนที่จะใส่ใจชีวิตของตนเอง

                8. ผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบคือความคับแค้นใจ ทั้งต่อผู้อื่นและต่อตนเอง


                9. การเปรียบเทียบทำให้เราสูญเสียความสุข การเปรียบเทียบไม่ได้เพิ่มคุณค่า ความหมาย หรือเติมเต็มชีวิตเรา มีแต่กีดขวางเราจากสิ่งเหล่านั้น



(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/489766528219168275)


                ผลกระทบทางลบจากการเปรียบเทียบมีมากมาย และส่งผลมหาศาล เป็นไปได้ว่าคุณเคยมีประสบการณ์เหล่านี้ หรืออาจกำลังเผชิญอยู่ แล้วเราจะเป็นอิสระจากนิสัยชอบเปรียบเทียบได้อย่างไร ขอให้พิจารณา รับไว้ แล้วทำตามแนวทางต่อไปนี้


                วิธีเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอย่างได้ผล
                เขียนบันทึกเรื่องความโง่เขลาและความเดือดร้อนจากธรรมชาติของการเปรียบเทียบ ทำความเข้าใจรายการที่กล่าวมาข้างต้นให้ดี ตระหนักถึงความเดือดร้อนจากการเปรียบเทียบในชีวิตที่ผ่านมาของคุณ ค้นหาความจำเป็นเร่งด่วนที่ก่อให้เกิดเจตนาแน่วแน่ ที่จะขจัดนิสัยชอบเปรียบเทียบ จากภายในสู่ภายนอก

                1. ระลึกถึงความสำเร็จของคุณอย่างแนบแน่น : ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียน นักดนตรี หมอ นักจัดสวน แม่ หรือนักเรียน คุณมีภูมิหลังเฉพาะตัว ด้วยประสบการณ์และพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ คุณมีศักยภาพที่จะรัก ช่วยเหลือ และสนับสนุน คุณมีทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพื่อทำสิ่งดีงามให้สำเร็จลุล่วง ในพื้นที่เล็กๆ ของคุณในโลกใบนี้ ด้วยการใช้โอกาสที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่ ขอให้ระลึกถึงความสำเร็จในอดีตของคุณอย่างใกล้ชิด ค้นหาแรงบันดาลใจให้ทำมากยิ่งขึ้น

                2. แสวงหาสิ่งที่มีค่ามากกว่าในชีวิต : สมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกบางอย่างหลบซ่อนจากสายตาของเรา ความรัก ความอ่อนโยน ความเห็นอกเห็นใจ การละวางตัวตน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแสวงหาสิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าชี้วัด จงปรารถนาสิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่น ถอนตัวออกจากสังคมที่นิยามคุณค่าจากความสำเร็จ

                3. แข่งขันให้น้อยลง ชื่นชมให้มากขึ้น : อาจมีบางกรณีที่การเปรียบเทียบเป็นเรื่องเหมาะสม ทว่าชีวิตไม่ใช่หนึ่งในนั้น พวกเราถูกจัดวางให้มาอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาและดาวเคราะห์อันเฉพาะเจาะจงนี้  ยิ่งเราหยุดแข่งขันเพื่อจะ “ชนะ” ได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งเริ่มร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาได้เร็วเท่านั้น สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เอาชนะนิสัยชอบแข่งขันกับคนอื่น คือ ชื่นชมและชมเชยคุณูปการของผู้อื่นให้เป็นนิสัย

                4. กตัญญู สำนึกคุณ ขอบคุณ : สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามุ่งความสนใจไปที่สิ่งดีๆ ที่เรามีในโลกนี้แล้ว เตือนตัวเองว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ การใส่ใจด้านลบไม่มีประโยชน์เท่าใส่ใจด้านบวก เราจำเป็นต้องมีที่ว่างเพื่อระลึกว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครใช้ชีวิตโดยปราศจากความเจ็บปวด จำเป็นต้องมีอุปสรรคให้ฝ่าฟันเพื่อฉลองชัยชนะ ทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าคุณอยู่ใกล้ชิดพอจะรู้หรือไม่ก็ตาม

                5. เดินออกไป : เมื่อคุณพบว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในคราวต่อไป ให้ลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อม  เดินออกไป แม้แค่นอกห้องก็ตาม  ปล่อยให้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดของคุณ

                6. ค้นหาแรงบันดาลใจโดยไม่พึ่งการเปรียบเทียบ : เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับผู้อื่นเป็นเรื่องโง่เขลา การแสวงหาแรงบันดาลใจและเรียนรู้จากผู้อื่นคือเรื่องชาญฉลาด พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อเรียนรู้ความแตกต่าง ถามคำถามบุคคลที่คุณชื่นชมอย่างอ่อนน้อม อ่านชีวประวัติของพวกเขาในฐานะแรงบันดาลใจ แต่ถ้าการเปรียบเทียบมีแนวโน้มฝังแน่นในตัวคุณ ให้ระลึกว่าทัศนคติอันไหนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางบวก อันไหนส่งผลในทางลบ

                7. ถ้าคุณจำเป็นต้องเปรียบเทียบ ให้เปรียบเทียบกับตัวเอง : พวกเรามักพยายามเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง ไม่เพียงเพื่อตัวเราเท่านั้น แต่เพื่อเป็นประโยชน์และเป็นการสนับสนุนผู้อื่นด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง เป็นอิสระจากการเปรียบเทียบ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เป็นอิสระจากการเปรียบเทียบ


บทความต้นฉบับ Freedom From the Comparison Game
เขียนโดย Joshua Becker


(ขอยืมภาพจาก http://www.contemporist.com/essentials-for-a-modern-tea-party)


               วัฒนธรรมของเราเรียกร้องให้ครอบครองมากขึ้น โฆษณาต่างชักชวนให้เราซื้อของใหม่ล่าสุดและดีที่สุด เรามีแนวโน้มตามธรรมชาติ ที่จะเปรียบเทียบวิถีชีวิตของตนเองกับคนรอบตัว บวกกับสัญชาตญาณภายใน ที่อยากทำให้คนอื่นประทับใจ โดยการมีข้าวของให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วคุณก็มีส่วนผสมของความทุกข์

                ผลก็คือ เราใช้พลังงานอันมีค่า ไปกับการเปรียบเทียบทรัพย์สินของตัวเองกับผู้อื่น เราสนใจว่าผู้หญิงคนนั้นได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด ผู้ชายคนนั้นใส่อุปกรณ์ไฮเทคอะไรไว้ในกระเป๋า เสื้อผ้าที่ดูเหมือนแบรนด์เนมที่เพื่อนๆ ของเราสวมใส่คือแบรนด์อะไร  สุดท้ายก็จบลงด้วยความอยากมีเพิ่มขึ้นอีก ทว่าความฝัน ความหวังอันไม่สิ้นสุด รวมทั้งความอิจฉาที่มีต่อทรัพย์สินในครอบครองของผู้อื่น ปล้นชิงความสุขและความพึงพอใจในวันนี้ไป

                เราใช้พลังงานมากมาย คิดถึงสิ่งที่เราไม่มี เราพลาดการชื่นชมยินดีต่อสิ่งที่มี ทำให้รู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไป ทั้งที่มีความสุขมากมายกองอยู่เบื้องหน้า

บทความที่เกี่ยวข้อง แนวทางการเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สิ่งสำคัญ 10 อย่างในชีวิตที่คุณควรทำให้เรียบง่ายขึ้น


บทความต้นฉบับ  The 10 Most Important Things to Simplify in Your Life
เขียนโดย Joshua Becker



“ความบริสุทธิ์และความเรียบง่าย
คือปีก 2 ข้างที่ทำให้มนุษย์โบยบินเหนือพื้นโลก
และธรรมชาติอันไม่คงทนถาวรทั้งปวง”

โดย Thomas a Kempis


(ขอยืมภาพมาจาก https://www.pinterest.com/pin/699535754595405578)


                ความเรียบง่ายนำมาซึ่งความสมดุล อิสรภาพ และความสุข เมื่อเราเริ่มใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และพบประโยชน์จากประสบการณ์ของตนเอง เราจะมีคำถามต่อไป

                ฉันสามารถขจัดความยุ่งเหยิงออกไปจากสิ่งไหนในชีวิตได้บ้าง เพื่อจะได้จดจ่อกับสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง จากประสบการณ์ บทสนทนา รวมทั้งการสังเกตของพวกเรา นี่คือสิ่งสำคัญ 10 อย่างที่คุณควรทำให้เรียบง่ายขึ้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสมดุลและมีความสุขมากขึ้น

                1. ทรัพย์สมบัติ : การมีข้าวของจำนวนมากทำให้ชีวิตของเรายุ่งยาก จนถึงระดับที่เราคาดไม่ถึง พวกมันทำให้เราสูญเสียเงินในบัญชี พลังงาน สมาธิ กีดขวางเราจากคนที่เรารัก ทั้งยังขัดขวางไม่ให้เราได้ใช้ชีวิต ในแบบที่เราให้คุณค่า หากคุณลงแรงใช้เวลาขจัดข้าวของที่ไม่สำคัญออกไป คุณจะไม่รู้สึกเสียดายเลยที่ทำเช่นนั้น

                2. เวลาที่ใช้กับกิจกรรมต่างๆ : ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตามตารางกิจกรรมอันแน่นเอียด ทั้งทำงาน ทำงานบ้าน ทำกิจกรรมกับลูกๆ ร่วมกิจกรรมในชุมชน ความพยายามทางศาสนา งานอดิเรก และอีกมากมาย หากเป็นไปได้ ขอให้คุณตัดกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าสูงสุดของคุณออกไป

                3. เป้าหมาย : ลดจำนวนเป้าหมายในชีวิตที่คุณต้องการทำให้สำเร็จ ให้เหลือ1-2 อย่าง การลดเป้าหมายลงจะทำให้คุณมีสมาธิเพิ่มขึ้น ทำสำเร็จเร็วขึ้น เขียนรายการเป้าหมายที่คุณอยากทำให้สำเร็จออกมา แล้วเลือกสิ่งสำคัญที่สุดเพียง 2 อย่าง เมื่อทำเสร็จแล้ว ค่อยเพิ่มเป้าหมายอื่นจากในรายการเข้ามา

                4. ความคิดลบ : อารมณ์ลบเกือบทั้งหมดไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความหงุดหงิด โกรธแค้น เกลียดชัง อิจฉา พวกมันไม่เคยทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นสักคน จงรับผิดชอบจิตใจของคุณ ให้อภัยความหลังอันเจ็บปวด แทนที่ความคิดลบด้วยความคิดบวก

                5. หนี้สิน : หากหนี้สินทำให้คุณรู้สึกเหมือนตกเป็นทาส จงใช้หนี้ซะ เริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ ทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อหลุดออกจากภาระอันหนักอึ้งนี้ ค้นหาความช่วยเหลือที่คุณจำเป็นต้องมี สละความหรูหราในวันนี้ เพื่ออิสรภาพในวันรุ่งขึ้น

                6. คำพูด : ใช้คำพูดให้น้อยลง ใช้ถ้อยคำเรียบง่ายและจริงใจ ให้คำสื่อความหมายตามที่คุณหมายความจริงๆ หลีกเลี่ยงการซุบซิบนินทา

                7. วัตถุดิบสังเคราะห์ : หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ขนมปังขาว น้ำเชื่อมที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง และเกลือที่มากเกินไป การลดวัตถุดิบพวกนี้ ทำให้คุณมีพลังงานมากขึ้นในระยะสั้น และสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว พยายามลดการใช้ยาที่ซื้อได้ตามร้านขายยา ให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปล่อยให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเองบ้าง แทนที่จะพึ่งสารเคมีตลอด

                8. เวลาที่ใช้หน้าจอ : การจดจ่ออยู่กับรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดีโอเกมส์ และเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อชีวิตมากกว่าที่คุณคิด สื่อต่างๆ จัดวางคุณค่าให้คุณ พวกมันเริ่มครอบงำชีวิตคุณ พวกมันมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความคิดและทัศนคติของคุณ โชคร้าย ที่คุณอยู่ในโลกที่สื่อต่างๆ สอดประสานกัน จนกระทั่งไม่ตระหนักว่ามันส่งผลกระทบต่อคุณ ทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงอิทธิพลจากสื่อ ไม่ให้มีผลกระทบต่อชีวิต คือปิดมันซะ

                9. การเชื่อมต่อกับโลก : การมีมิตรภาพกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี ทว่ากระแสรบกวนที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย เรียนรู้ที่จะปิดมือถือ ออกจากเฟสบุ๊ค ไม่อ่านข้อความเสียบ้าง ใส่ใจสิ่งสำคัญไม่ใช่สิ่งเร่งด่วน การเชื่อมต่อกับผู้อื่นทางโซเชียลมีเดีย อาจทำให้เรารู้สึกสำคัญ เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่ต้องการ ทว่าความรู้สึกสำคัญ กับการเป็นคนสำคัญจริงๆ นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                10. การทำหลายอย่างพร้อมกัน : งานวิจัยบ่งชี้ว่าการทำหลายอย่างพร้อมกัน ทำให้รู้สึกเครียด และมีประสิทธิภาพต่ำ ดูเหมือนตอนนี้การทำทีละอย่างกลายเป็นศาสตร์ที่แทบจะหายสาบสูญ จงเรียนรู้ที่จะทำทีละอย่าง ทำให้ดี เมื่อเสร็จแล้วค่อยไปทำอย่างอื่นต่อ

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รีวิวหนังสือ ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว





                ขอบอกก่อนนิดนึง ว่าเรารีวิวหนังสือเล่มนี้จากมุมของคนที่อ่านจบ 2 รอบ และได้ทำการจัดบ้านตามแนวทางในหนังสือเล่มนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อต้นปี  2561

                หนังสือชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว เขียนโดย คนโด มาริเอะ เป็นหนังสือขายดีมากทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทย มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย จึงมี youtuber ชาวอเมริกันพูดถึงการจัดบ้านตามแนวทางหนังสือเล่มนี้หลายคน จากความนิยมที่มากมายขนาดนี้ ทำให้คาดว่าหนังสือเล่มนี้ต้องมีดี ซึ่งก็มีจริงๆ

                มาริเอะ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ สนใจด้านการจัดบ้านมาตั้งแต่วัยเด็ก เธอศึกษาและทดลองวิธีการมามากมาย จนกระทั่งค้นพบวิธีการของตนเอง ชื่อว่าวิธีแบบคมมาริ ซึ่งมาจากชื่อของเธอเอง มาริเอะกล่าวว่าวิธีการของเธอมีประสิทธิภาพสูงมาก ลูกค้าของเธอไม่ต้องมาเรียนซ้ำอีก เพราะวิธีการนี้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากจัดบ้านตามวิธีคมมาริ บ้านจะไม่กลับมารกอีกเลย

                ตอนอ่านหนังสือครั้งแรก เราไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะคิดว่าผู้เขียนโอ้อวดเกินไป วิธีการอะไรจะดีขนาดนั้น เนื้อหาก็ค่อนข้างเป็นนามธรรม บรรยายไปเรื่อยๆ ไม่มีภาพประกอบ รู้สึกว่าเข้าใจยาก ทำให้อ่านไปได้ประมาณ 50 หน้าก็เลิกอ่าน เรามาเริ่มสนใจวิธีจัดบ้านแบบคมมาริอีกครั้ง หลังจากอ่านบันทึกของรุ่นพี่ (เราเรียนป.โท) พอมาอ่านอีกครั้งอย่างเปิดใจ วางความหมั่นไส้ที่คิดว่าผู้เขียนโอ้อวดไว้ก่อน เราพบว่าเนื้อหาในหนังสือน่าสนใจดี บวกกับก่อนหน้านั้นเราไปเข้ากัมมัฏฐานมา 2 เดือน มีของใช้เท่าที่จำเป็น จึงยิ่งเห็นข้อดีของการมีข้าวของจำนวนน้อย

                จุดเด่นของวิธีการแบบคมมาริ ที่ไม่เคยพบในหนังสือเล่มอื่นมาก่อน คือการจัดบ้านครั้งใหญ่แบบรวดเดียวจบ ในหนังสือหรือนิตยสารอื่นๆ มักแนะนำให้ค่อยๆ จัดไปทีละนิด เพราะไม่อยากให้เหนื่อยเกินไป หรือรู้สึกท้อแท้ มาริเอะกล่าวว่าจำเป็นต้องจัดครั้งใหญ่ครั้งเดียวแบบรวดเดียวจบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ได้เห็นผลจากการจัดบ้านอย่างชัดเจน

                ตอนแรกเรารู้สึกหนักใจกับการจัดบ้านครั้งใหญ่รวดเดียวจบ แต่ก็อยากลองทำดู เพราะรุ่นพี่ที่มหาลัยลองทำมาแล้ว มันคงไม่ยากขนาดนั้นหรอกมั้ง เราใช้เวลาจัดประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ถึงเสร็จ ช่วงที่จัดบางทีก็เหนื่อย บางทีก็ท้อ บางทีก็เครียด อยากให้เสร็จไวๆ บางทีก็หงุดหงิดเมื่อเห็นข้าวของรกๆ ที่มากเกินจำเป็นของพ่อกับแม่ แต่ทำอะไรไม่ได้ เราทำได้แค่จัดการกับข้าวของของตัวเอง

                หลักการคมมาริ สรุปได้คร่าวๆ คือ เก็บไว้เฉพาะของที่สร้างความสุขให้เรา ของที่ไม่ได้สร้างความสุขแต่จำเป็นต้องมี อย่างกรรไกรตัดเล็บก็ต้องเก็บไว้ด้วยนะ ของส่วนที่เหลือให้ขจัดออกไป ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทิ้ง บริจาค ขาย เป็นต้น พอเลือกของที่ต้องการเก็บไว้ได้แล้ว ก็เก็บของชนิดเดียวกันให้อยู่ในที่เดียวกัน และควรเก็บไว้แค่จุดเดียวเท่านั้น แค่ทำตามหลักการ 2 ข้อนี้ บ้านก็จะโล่งและเป็นระเบียบขึ้นแล้ว ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย แนะนำให้อ่านในหนังสือ

                จากการจัดบ้านตามแนวทางคมมาริ เราพบว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นจริงตามชื่อหนังสือ แต่ไม่ได้ดีมากๆ เหมือนกับเรื่องเล่าของบางคนในหนังสือ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในด้านนิสัย เรากลายเป็นคนที่มีระเบียบ สามารถแยกประเภท แบ่งกลุ่ม และจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เฉพาะข้าวของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งอื่นๆ อย่างเช่นเอกสารและข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัย เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น (แต่ยังไม่ทั้งหมด) จัดระเบียบความคิดได้ดีขึ้น รู้สึกสบายใจ พอห้องปลอดโปร่งเป็นระเบียบ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพแวดล้อม ทำให้มีเวลาแก้ปัญหาอย่างอื่นที่สำคัญกว่า

                ด้านพฤติกรรม เรากลายเป็นคนที่มีระเบียบมากขึ้น เวลาใช้ข้าวของต่างๆ เสร็จแล้ว ก็จะเก็บคืนที่เดิมเสมอ ทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง เป็นระเบียบตลอดเวลา โต๊ะทำงานอยู่ในสภาพพร้อมใช้เสมอ เวลาต้องการใช้อะไรเราจะหาเจอ เพราะรู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน อะไรที่ไม่มีก็จะรู้ทันทีว่าไม่มี เพราะเก็บอยู่ที่เดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปหาที่อื่นอีก ทำความสะอาดบ้านได้ง่ายขึ้น ไม่รู้สึกเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากเก็บไว้เฉพาะของที่ทำให้มีความสุข เราจึงใช้ของชิ้นนั้นซ้ำๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ และไม่ค่อยรู้สึกอยากได้ของเพิ่ม เพราะพอใจกับของที่มีอยู่แล้ว จำนวนข้าวของที่มีจึงค่อนข้างคงที่

                หลังจากจัดบ้านครั้งใหญ่ ห้องของเราก็ไม่กลับมารกอีกเลยเป็นเวลาเกือบปีแล้ว หลังจากทดลองจัดบ้านแบบคมมาริจนเสร็จ เราพบว่ามาริเอะพูดความจริง เธอไม่ได้โอ้อวด ไม่ได้โฆษณาเกินจริง วิธีนี้ได้ผล เรารู้สึกขอบคุณมาริเอะที่แบ่งปันวิธีการอันได้ผลนี้ ทำให้เราสามารถแก้ปัญหาบ้านรกได้อย่างถาวร เราคิดว่าคนที่มีปัญหาบ้านรกและอยากจะจัดการ ควรอ่านและทำตามแนวทางของหนังสือเล่มนี้ อาจจะเหนื่อย ท้อ หรือเครียดบ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าจริงๆ ถ้าไม่ได้ลองเองจะไม่รู้ เพราะฉะนั้นไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านแล้วลองทำตามเถอะค่ะ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รีวิวหนังสือ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป


                


                 หนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป เป็นหนังสือที่นำเสนอแนวคิดของมินิมอลลิสม์ รวมทั้งวิธีลดปริมาณข้าวของ หลังจากอ่านจบ เรามองว่าฟุมิโอะผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ นำเสนอแนวทางแบบมินิมอลลิสม์สายแข็ง (extreme minimalism) เพราะเขามีข้าวของน้อยมาก ขนาดสามารถเก็บของทั้งหมดเพื่อย้ายบ้านในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ข้าวของคงน้อยมากจริงๆ อาจมีไม่ถึง 100 ชิ้นด้วยซ้ำ

                ผู้ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องมินิมอลลิสม์มาก่อน เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ อาจเข้าใจว่าการเป็นมินิมอลลิสม์ต้องมีข้าวของน้อยมาก มีแค่เท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและการทำงานเพียงไม่กี่ชิ้น จนอาจเกิดคำถามว่าทำไมเราต้องมีข้าวของน้อยขนาดนั้นด้วย เราอยากบอกตั้งแต่ต้นว่า หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดแบบมินิมอลลิส์ได้ดีและมีประโยชน์มาก แต่ไม่จำเป็นว่าผู้เริ่มสนใจมินิมอลลิสม์ ต้องพยายามมีข้าวของไม่กี่ชิ้นเหมือนฟุมิโอะ เราสามารถนำแนวทางในหนังสือมาประยุกต์ใช้ โดยเลือกระดับความเข้มข้นให้เหมาะสมกับตนเองได้

                ในหนังสือบอกวิธีลดจำนวนข้าวของไว้เยอะทีเดียว ซึ่งเราจะไม่พูดถึงในที่นี้  เพราะเราจัดบ้านและลดจำนวนข้าวของโดยใช้วิธีแบบคมมาริ (จากหนังสือ ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว) เป็นหลัก หนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป เป็นมินิมอลลิสม์สายแข็ง จึงมุ่งเน้นเก็บเฉพาะข้างของที่จำเป็น ซึ่งของที่จำเป็นจริงๆ นั้นมีจำนวนน้อยมาก ส่วนวิธีแบบคมมาริ จะเก็บเฉพาะของที่สำคัญ ปริมาณข้าวของที่เก็บไว้จึงมีจำนวนมากกว่า เราแนะนำให้อ่านวิธีลดข้าวของในหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป แต่ไม่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด แค่เป็นแนวทางก็พอ เพราะถ้าเราทิ้งของที่ยังไม่พร้อมจะทิ้ง หรือทิ้งของไปแล้วรู้สึกเสียดาย การทิ้งของด้วยความรู้สึกแบบนี้ แทนที่จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง กลับทำให้รู้สึกทุกข์

                เนื้อหาส่วนที่เราชอบในหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป คือความคิดและทัศนคติภายในของมินิมอลลิสต์ ซึ่งหนังสือชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียวไม่ได้กล่าวถึงมากนัก เพราะมุ่งเน้นการนำเสนอข้อดีของการจัดบ้านรวมทั้งวิธีการที่ได้ผล เราชอบที่ฟุมิโอะเขียนถึงความคิด ทัศนคติ แรงจูงใจ ที่ทำให้เราซื้อข้าวของเกินจำเป็น ทั้งยังเก็บข้าวของที่ไม่ได้ทำให้มีความสุขไว้ นอกจากนั้นยังนำเสนอแง่มุมอันมืดหม่น ซึ่งเราเองก็มีเหมือนกัน หนังสือเล่มนี้ทำให้ได้รู้ว่ามีมนุษย์คนอื่น ที่มีความทุกข์แบบเดียวกับตัวเอง เราไม่ได้มีปัญหาแบบนี้อยู่คนเดียวในโลก หนังสือเล่มนี้ทำให้เราอยากเข้าใจความคิดของมินิมอลลิสต์คนอื่นมากขึ้น พอเลองหาข้อมูลทั้งจากการอ่านบล็อก ดู youtube ของมินิมอลลิสต์คนอื่น จึงได้พบว่าปัญหาที่เรามี เป็นประเด็นร่วมที่คนจำนวนไม่น้อยก็มีเหมือนกัน และพวกเขาก็ได้พบกับวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ด้วยการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

                - คุณเคยซื้อของตามกระแสนิยม ซึ่งได้ใช้เพียงไม่กี่ครั้งไหม

                - คุณเคยคิดว่าข้าวของบางอย่าง เป็นสิ่งบ่งบอกตัวตนของคุณไหม

                - คุณเคยเปรียบเทียบข้าวของที่คุณมีกับของคนอื่นไหม

                - คุณเคยซื้อข้าวของบางอย่าง ที่คุณไม่ได้ชอบ เพื่อให้คนอื่นยอมรับหรือชื่นชมบ้างไหม

                - การซื้อของด้วยเหตุผลที่กล่าวว่ามา ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร

                หนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป จะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

รีวิวหนังสือ เคล็ดลับใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ที่ฉันได้เรียนรู้มาจากปารีส : Lessons from Madame Chic






                หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดมินิมอลลิสม์โดยตรง ผู้เขียนหนังสือก็ไม่ได้กล่าวว่าการใช้ชีวิตแบบชาวปารีส เป็นการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ ทว่าหลังจากที่เราอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบก็พบว่าการใช้ชีวิตแบบชาวปารีส มีหลายแง่มุมที่บังเอิญเป็นมินิมอลลิสม์ หากใครลองใช้ชีวิตตามสไตล์ชาวฝรั่งเศส ก็จะได้ใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์สายชิลล์ไปโดยปริยาย ก็เลยอยากจัดหนังสือเล่มนี้ไว้ในหมวดมินิมอลลิสม์ด้วยค่ะ

                เรื่องมีอยู่ว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นหญิงสาวอเมริกัน ได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ปารีส และได้อาศัยอยู่กับครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูกชาย 3 คน (ซึ่งนานๆ จะมาเยี่ยมบ้านสักที) เธอได้พบว่าชาวปารีสมีสไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างจากชาวอเมริกันมาก ทั้งยังได้เรียนรู้เคล็ดลับมากมายจาก “มาดามชิค” แม่บ้านของครอบครัวนี้ เราอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วพบว่าชาวปารีสมีสไตล์การใช้ชีวิตที่น่าสนใจจริงๆ บางอย่างก็แตกต่างจากที่เคยวาดภาพไว้อย่างสิ้นเชิง

                สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจมากคือเรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้าของชาวปารีส พวกเขามีเสื้อผ้าชิ้นหลักประมาณ 10 ชิ้นเท่านั้น (เสื้อผ้าหลัก หมายถึงเครื่องแต่งกายที่ใช้กับร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง คือ เสื้อ กางเกง กระโปรง และชุดเดรส เครื่องแต่งกายเสริม เช่น เสื้อกันหนาว หมวก เข็มขัด ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า เป็นต้น) ซึ่งเป็นปริมาณน้อยมากจนน่าตกใจ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า เสื้อผ้าชิ้นหลักแค่10 ชิ้น เพียงพอจะใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

                เรื่องเสื้อผ้าชิ้นหลัก 10 ชิ้น ของชาวปารีสทำให้เราตกใจมาก เพราะฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้นำแฟชั่น เสื้อผ้าแบรนด์ดังหลายแบรนด์ก็มาจากฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นชาแนล, คริสเตียน ดิออร์ เราจึงคิดมาตลอดว่าชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในปารีส จะชื่นชอบการแต่งตัวและรักแฟชั่นมาก แต่กลายเป็นว่า ชาวปารีสมีเสื้อผ้าชิ้นหลักแค่ 10 ชิ้น เพื่อนของเราที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีสระยะเวลาหนึ่ง ยืนยันว่าชาวปารีสมีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นจริงๆ สรุปว่าชาวปารีสโดยรวมแต่งกายแบบมินิมอลลิสม์ โดยใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองชอบ จำนวนไม่กี่ชิ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชาวปารีส การใส่เสื้อผ้าซ้ำบ่อยๆ ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่ต้องซักนะจ๊ะ

                ชาวปารีสใช้ของชั้นดีจำนวนน้อย ผู้เขียนหนังสือกล่าวว่า ครอบครัวที่เธอพักอาศัยอยู่ด้วย มีข้าวของเครื่องใช้จำนวนไม่มากนัก และนิยมใช้ข้าวของชั้นดี บางอย่างก็เป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ อย่างแก้วคริสตัล ถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ พวกเขาไม่ชอบซื้อของราคาถูกจำนวนมาก หรือซื้อของราคาถูกบ่อยๆ แต่นิยมใช้ของคุณภาพดีจำนวนน้อย และใช้นานๆ นี่ก็ตรงกับแนวทางของมินิมอลลิสม์ ที่สนับให้ใช้ของที่มีคุณภาพจำนวนน้อย และเป็นของที่เราชอบจริงๆ

                ชาวปารีสชอบซื้อของจากร้านค้าท้องถิ่น และร้านค้าเฉพาะอย่าง ไม่นิยมซื้อของจากซูเปอร์มาร์เก็ต อันนี้อาจไม่ค่อยมีมินิมอลลิสต์คนไหนพูดถึงสักเท่าไหร่ คือเราสงสัยว่าถ้าคนจำนวนมากเป็นมินิมอลลิสต์ เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ก็เลยหาข้อมูล และได้พบว่ามินิมอลลิสต์ตัวพ่ออย่าง Joshua Fields Millburn & Ryan Nicodemus มองว่าการอุดหนุนสินค้าจากร้านค้าเฉพาะทาง ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม สิ้นค้าท้องถิ่น สินค้าทำมือ เป็นเศรษฐกิจแบบมินิมอลลิสม์ เพราะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ที่ทำงานด้วยใจรักสามารถดำรงชีพอยู่ได้ ซึ่งเราจะแปลแนวคิดของมินิมอลลิสม์ต่อเศรษฐกิจในภายหลังค่ะ

                อยากบอกว่าหนังสือเล่มนี้มีผลกระทบต่อการแต่งตัวของเรามากเลย หลังจากอ่านข้อดีของการมีเสื้อผ้าจำนวนน้อย บวกกับสงสัยว่าชาวฝรั่งเศสมีเสื้อผ้าชิ้นหลักแค่ 10 ชิ้นได้ยังไง เราก็เลยลองคัดเลือกเสื้อผ้าชิ้นหลัก 20 ชิ้น มีแค่ 4 สี คือ ขาว เทา ดำ และน้ำเงิน เราทดลอง 20 ชิ้น เพราะคิดว่า 10 ชิ้นน้อยเกินไป แล้วก็ใส่วนไปวนมาใน 20 ชิ้นนี้ เริ่มทำตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2561 ทำมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็เกือบปีแล้ว เราพบว่าเสื้อผ้าชิ้นหลักแค่ 20 ชิ้น พอใส่จริงๆ และทำให้การแต่งตัวง่ายขึ้นมาก เราจะเขียนเรื่องการแต่งตัวแบบมินิมอลลิสม์ของเราในภายหลังค่ะ

                ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ที่แปลเป็นภาษาไทยมีไม่กี่เล่ม ใครที่อยากหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ เราขอแนะนำเล่มนี้ค่ะ มีไอเดียน่าสนใจเพียบเลย ไปหามาอ่านกันนะคะชาวมินิมอลลิสต์ทุกท่าน

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...