ปัจจุบันนี้การซื้อของทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก
และสินค้าก็ราคาถูกลง (บางอย่างคุณภาพก็ลดลงตามราคา) ทำให้เราซื้อสินค้าได้มากขึ้น
ผลก็คือเรามีสิ่งของมากเกินไป การจะรักษาสภาพที่อยู่อาศัยไม่ให้รกรุงรัง
เราจำเป็นต้องซื้อของอย่างรอบคอบ ในปริมาณที่เหมาะสม ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีการซื้อของให้น้อยลง
และซื้ออย่างรอบคอบมากขึ้น จากมินิมอลลิสต์หลายๆ คน บวกกับความเห็นของตัวเอง ได้เป็นวิธีการต่างๆ
ดังนี้
(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/479703797804585951)
1.
ทำรายการของที่ต้องการซื้อไว้ล่วงหน้า
การทำรายการรายการของที่ต้องการซื้อไว้ล่วงหน้า แล้วไปซื้อของตามรายการที่ทำไว้
ทำให้เราซื้อของอย่างมีจุดมุ่งหมาย สิ่งสำคัญคือพยายามซื้อของตามรายการอย่างเคร่งครัด
เลี่ยงการซื้อของที่อยู่นอกเหนือรายการ พกรายของที่ต้องการซื้อติดตัวไว้เสมอ
เมื่อคิดจะซื้อบางอย่าง ให้นำรายการออกมาดูว่าของชิ้นนั้นเป็นของที่อยู่ในรายการไหม
หากไม่ใช่ก็ไม่ควรซื้อ
2.
อย่าซื้อของทันที
หากเจอของที่ไม่ได้อยู่ในรายการที่ต้องซื้อ
แต่เกิดนึกเหตุผลที่จำเป็นต้องมีของชิ้นนั้นขึ้นมาได้ อย่ารีบซื้อในทันที
ให้ใช้เวลาพิจารณาให้รอบคอบ ถึงเหตุผลที่ควรซื้อ ปล่อยเวลาไว้สักพัก ถ้ายังมีเหตุผลที่ดีที่จะซื้อ
ก็ขอให้หาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาสินค้าจากแหล่งต่างๆ ก่อน
คุณอาจได้ของที่คุณภาพดีกว่า และราคาถูกกว่าจากแหล่งอื่น ส่วนสิ่งของที่ไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องซื้อ
แต่เป็นของที่ก่อให้เกิดความสุข อย่าซื้อในทันที ขอให้ปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก
มีความเป็นไปได้ 2 กรณี อย่างแรกคือคุณจะลืมของชิ้นนั้น
อย่างที่สองคือของชิ้นนั้นจะวนเวียนอยู่ในความคิดของคุณเรื่อยๆ
ผู้เขียนซื้อแก้วน้ำเจ้าหญิงเบลล์ หลังจากแก้วน้ำใบนี้วนเวียนอยู่ในความคิดมา 3
เดือน พอซื้อมาแล้วก็ใช้แก้วใบนี้ทุกวันที่อยู่บ้าน เป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ถ้าของชิ้นนั้นไม่มีความหมายต่อคุณจริงๆ
มันจะไม่วนเวียนอยู่ในความคิดของคุณนานนัก แต่ถ้ามันอยู่นาน ก็แสดงว่ามันมีความหมายต่อคุณ
3.
ไม่ซื้อของในขณะมีอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเรามีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
การใช้เหตุผลจะมีประสิทธิภาพต่ำลง ช่วงเวลาที่เราอยู่ในความรู้สึกทุกข์ อย่างความรู้สึกเศร้า
เหงา หดหู่ หงุดหงิด น้อยใจ เสียใจ ว่างเปล่า สับสน เรามักอยากให้ความทุกข์ยุติลง
อยากแสวงหาความสุขมาแทนที่ เป็นไปได้มากว่าเราจะทำบางอย่าง
เพื่อให้ได้รับความสุขอันรวดเร็วทันใจ การซื้อของคือหนึ่งในสิ่งผู้คนชอบทำ
เพื่อทำให้ได้รับความสุข การซื้อของทำให้เรารู้สึกมีอำนาจ
สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เราอาจซื้อของเพราะคิดว่ามันจะแก้ไขความรู้สึกทุกข์บางอย่าง
ซึ่งไม่สามารถทำได้จริง เพราะสิ่งของทำได้เพียงแก้ไขสถานการณ์ภายนอก แต่ไม่อาจแก้ไขความรู้สึกอันเป็นนามธรรมได้
การซื้อของขณะมีอารมณ์ความรู้สึก มักไม่ผ่านการใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ของที่ซื้อไปจึงมักให้ความสุขเพียงชั่ววูบ
ไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เมื่ออยู่ในภาวะสงบ เราอาจเกิดคำถามว่า
“ฉันซื้อของเหล่านี้มาทำไม” ในทางตรงข้าม ตอนที่เราอารมณ์ดี
เราก็มักซื้อของง่ายขึ้นเช่นกัน เราจะใช้เหตุผลได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในสภาวะสงบเป็นกลาง
จึงไม่ควรซื้อของในขณะมีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็ตาม
4.
ทำให้การซื้อยุ่งยากเข้าไว้
ปัจจุบันการซื้อของทำได้ง่ายมาก มีห้างสรรพสินค้า
และร้านค้าปลีกผุดขึ้นมากมาย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถไปยังร้านค้าเหล่านั้นได้
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้การซื้อของออนไลน์เป็นเรื่องง่าย
การจ่ายเงินออนไลน์ทำให้การซื้อว่องไวยิ่งขึ้น เราสามารถซื้อของมายมายจากที่บ้าน
เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมากด ปัจจุบันการซื้อของง่ายขึ้นมาก
ทำให้ไม่ต้องใช้ความพยายามในการซื้อ เมื่อไม่ต้องใช้ความพยายาม
จึงทำให้เราขาดโอกาสใคร่ครวญ ว่าเราต้องการของชิ้นนั้นจริงหรือไม่
หากการซื้อของต้องใช้ความพยายามมาก จะทำให้เราได้ใช้เวลาใคร่ครวญว่าของชิ้นนั้นเป็นที่ต้องการจริงหรือไม่
หากไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เราก็จะไม่ยอมลำบากเพื่อซื้อมันมา
คำแนะนำต่อไปนี้อาจไม่เหมาะกับทุกคน แต่ขอให้ลองพิจารณาดู
วิธีเหล่านี้จะทำให้การซื้อของยุ่งยากขึ้น ใช้การเดินไปซื้อของแทนการนั่งรถ
คุณจะไปยากขึ้น และซื้อของได้น้อยลงเพราะหนัก ซ่อน short cut แอ๊ปช็อปปิ้งให้พ้นจากสายตา ไม่ sing in แอ๊ปช็อปปิ้งออนไลน์ทิ้งไว้
คุณอาจลืมรหัสผ่านไปเลยหากไม่ได้ใช้นานๆ ไม่ใช้ I banking จะได้โอนเงินยากๆ
คุณอาจล้มเลิกความตั้งใจซื้อของชิ้นนั้น เพราะขี้เกียจเดินไปหาตู้ ATM
(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/413627547017829599)
5.
คิดให้รอบคอบก่อนซื้อของเพราะมีโปรโมชั่น
ผู้ขายมักใช้โปรโมชั่นต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เราซื้อของมากขึ้น
หรือซื้อของที่ไม่ได้ต้องการจริงๆ เช่น โปรซื้อ 2 แถม 1
จำเป็นต้องพิจารณาว่าของชิ้นนั้นเราสามารถใช้หมด ก่อนหมดอายุหรือไม่
มีเพื่อนที่ต้องการของเหมือนกัน มาหารกับเราไหม รวมทั้งพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
บางครั้งโปรแบบนี้ก็ทำให้ได้ของที่ต้องการในราคาที่ถูกลง
แต่บางทีก็ทำให้ซื้อของมากเกินจำเป็น โปรซื้อของครบจำนวน...แล้วจะได้ของแถม
ให้คิดให้ดีว่าของแถมชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือไม่
น้อยครั้งมากที่ของแถมจะบังเอิญเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ โปรแบบนี้กระตุ้นให้คุณซื้อของมากขึ้นกว่าที่ตั้งใจเพื่อให้ได้ของแถม
หากของแถมชิ้นนั้นบังเอิญเป็นของที่คุณต้องการ ให้พิจารณาว่าการซื้อของชิ้นนั้นจากแหล่งอื่นคุ้มค่า
และตรงความต้องการมากกว่าไหม โปรลดราคา กระตุ้นให้เราอยากซื้อเพราะความถูก
ทั้งที่ของชิ้นนั้นไม่ใช่ของที่เราต้องการจริงๆ เหมือนเราซื้อ “ความถูก”
มากกว่าซื้อของ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ
6.
ไม่คลิกดูโฆษณาออนไลน์
เดี๋ยวนี้โฆษณาเข้ามาหาเราจากหลายช่องทาง
ทั้ง Facebook ทั้ง Youtube รวมทั้งเว็บไซต์ทั้งหลาย
เมื่อเราเสิร์จหาข้องมูลต่างๆ การค้นหาของเราจะถูกบันทึกไว้ แล้วแอ๊ปกับเว็บไซต์ต่างๆ
ก็จะส่งโฆษณาสินค้ามาให้ ทั้งที่เราไม่ได้ขอ การเสิร์จหาข้อมูลโดยใช้ browser
ที่ไม่ระบุตัวตนจะช่วยหลีกเลี่ยงการถูกแอบบันทึกข้อมูลได้บ้าง พยายามอย่าคลิกเข้าไปดูโฆษณาที่แอ๊ปกับเว็บไซต์ต่างๆ ส่งมา ไม่หาข้อมูลสินค้าหรือดูภาพในยามว่าง เว้นแต่ต้องการซื้อจริงๆ
เพราะการหาข้อมูลสินค้าไปเรื่อยๆ จะกระตุ้นให้อยากซื้อ แล้วก็จะได้ซื้อจริงๆ
7.
เลือกปริมาณมากกว่าคุณภาพ
ของที่น่าปรารถนาที่สุดคือของที่ราคาถูกและคุณภาพดี
แต่หากต้องเลือกระหว่างของคุณภาพแย่ราคาถูกตามคุณภาพจำนวนมาก
กับของคุณภาพดีราคาสูงตามคุณภาพในจำนวนน้อย มินิมอลลิสม์สนับสนุนให้เลือกแบบหลัง
เพราะไม่ต้องการมีข้าวของจำนวนมาก เปลืองพื้นที่จัดเก็บ
และไม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร ของคุณภาพดีมักคงทนกว่า
ทำให้ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อยๆ
8.
เลือกซื้อของที่ใช้งานได้หลากหลายในชิ้นเดียว
ก่อนจะมีsmart phone เราจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เฉพาะด้าน
ทั้งกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ นาฬิกา
เครื่องคิดเลข แต่พอมีสมาร์ทโฟนก็ไม่ต้องซื้อของหลายชิ้นอีกต่อไป
เพราะสามารถทำหลายอย่างได้ในเครื่องเดียว ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ หากจะซื้อของขอให้พยายามซื้อของที่ทำงานได้หลายอย่างในชิ้นเดียว
เช่นเครื่องปริ้นที่สแกนและถ่ายเอกสารได้ ปากกาที่มีหลายสีในแท่งเดียว
แชมพูที่ใช้อาบน้ำได้ด้วย เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น