วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2562

โซเชียลมีเดีย ส่งผลให้เราซื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร



บทความต้นฉบับ How Social Media Influences Us to Buy
เขียนโดย 

(ขอยืมภาพจาก https://www.becomingminimalist.com/social-media-consumerism)

               โซเชียลมีเดียกินพื้นที่จำนวนมากในชีวิตของเรา ถ้าคุณเชื่อเรื่องสถิติ มันคือพื้นที่ขนาดใหญ่ในชีวิตของเรา มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ เป็นจำนวน 3.4 พันล้านคน ซึ่งโดยเฉลี่ยมี 7.6 แอคเคาท์ต่อคน และใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 116 นาทีต่อวัน 91 % ของผู้ค้าปลีกใช้โซเชียลมีเดียอย่างน้อยสองอย่าง 81% ของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโฆษณา

                ตัวเลขเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีแนวโน้มจะลดลงในอนาคต ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มจำนวนกว่า 320 ล้าน ระหว่างกันยายน 2017 ถึงตุลาคม2018 มีผู้ใช้งานใหม่เกิดขึ้นทุก 10 วินาที

                โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบสำคัญต่อวิธีใช้ชีวิตของเรา จากพาดหัวข่าวที่เพิ่งผ่านมาไม่นานของหนังสือพิมพ์ Washington Post กล่าวว่า การโพสจากเพื่อนของเราสร้างแรงกระตุ้นให้เราบริโภคมากขึ้น โซเชียลมีเดียคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญ ซึ่งคุ้มค่าที่จะศึกษาว่าทำไม

                นี่คือวิธีการที่โซเชียลมีเดียกระตุ้นให้เราซื้อของ

                เราสามารถเห็นการจับจ่ายใช้สอยส่วนตัวได้มากขึ้น หนังสือพิมพ์กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรามีแนวโน้มจะประเมินมาตรฐานการใช้ชีวิตของตนเองโดยเทียบกับสิ่งที่เพื่อนและเพื่อนบ้านของเราทำ เราอยากตามโจนให้ทัน อยากนำหน้าสมิท ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเห็นคนอื่นใช้เงิน จึงมีแนวโน้มจะคิดว่าเราสามารถหรือควรใช้เงินบ้าง” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเห็นคนอื่นใช้เงินซื้อสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาหาร การท่องเที่ยว สร้างแรงกระตุ้นอันละเอียดอ่อนให้เราทำตาม

                โฆษณาที่เพิ่มขึ้นและเข้าถึงเป้าหมายได้มากขึ้น สื่อต่างๆ ให้พื้นที่โฆษณา ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และนิตยสาร พวกมันเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ระดับหนึ่ง ผู้อ่านนิตยสาร Shape ย่อมเห็นโฆษณาแตกต่างจากนิตยสาร National Geographic แต่ไม่เคยมีพื้นที่สื่อใดในประวัติศาสตร์ ที่ให้โอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากเท่าโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook, Twitter, Instagram, Pinterest, Youtube กระทั่ง Amazon ต่างเก็บสะสมข้อมูลส่วนตัวของเรา โฆษณาที่เราเห็นมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น บริษัทต่างๆ ใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อเลือกว่าจะให้ใครเห็นโฆษณาของพวกเขา

                การซื้อของทำได้ง่ายดายจากอุปกรณ์ของเรา (มือถือ แท็บเล็ต โน๊ตบุ๊ค) โฆษณาในโซเชียลมีเดียมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะผู้บริโภคมีโอกาสซื้อในทันที ในอดีตถ้าคุณเห็นโฆษณาในโทรทัศน์ คุณจำเป็นต้องจดจำไว้ เมื่อไปที่ร้านค้าคราวหน้า ความลำบากนี้ช่วยลดผลกระทบของโฆษณาเหล่านั้น ทว่าปัจจุบันนี้ ความยากลำบากได้ถูกขจัดออกไป เราเห็นโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย และได้รับโอกาสให้ซื้อของชิ้นนั้นเพียงแค่คลิกไม่กี่ครั้งในเวลาไม่กี่วินาที

                แสวงหายอด “Likes การเห็นผู้คนในโซเชียลมีเดียไม่เพียงสร้างแรงกระตุ้นให้เราซื้อของเท่านั้น บ่อยครั้งเราซื้อเพื่อให้คนอื่นมองเห็นเรา เป็นเรื่องง่ายที่จะตกหลุมพรางของการแสวงหายอดไลค์ และเพิ่มผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย ผู้สร้างโฆษณาให้รางวัลตอบแทนในเรื่องนี้ ทั้งของคุณภาพดี ผลิตภัณฑ์ตามกระแส สถานที่ท่องเที่ยวอันตื่นตาตื่นใจ อาหารและเครื่องดื่มรสเลิศ ต่างหาผลประโยชน์ได้ดีในโซเชียลมีเดีย  พวกเราส่วนใหญ่ต่างรู้ดี และใช้เงินมากเกินควรเพื่อทำให้ผู้คนในโซเชียลมีเดียประทับใจในตัวเรา ทว่ายังมีทางอื่นทำให้คนอื่นประทับใจ

                เรื่องแต่งที่เราแชร์ในโลกออนไลน์ หน้าฟีดของโซเชียลมีเดียคือเรื่องแต่งของคนจริง ลองคิดดู ไม่มีใครโพสรูปวันที่อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจในโซเชียลมีเดีย หรือเล่าปัญหาลึกๆ รวมทั้งการดิ้นรนอันยากลำบากของพวกเขา ทว่าเรากลับพยายามนำเสนอเรื่องราวดีๆ ของตนเองให้ผู้อื่นเห็น เราพบเจอเรื่องแต่งของผู้คนเหล่านี้ 2 ชั่วโมงต่อวันในโลกออนไลน์ ซึ่งสร้างภาพเรื่องราวอันไม่สมจริงของชีวิตที่ควรเป็นขึ้นมา  เมื่อเราเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเขา เรามักเชื่อว่าถ้าใช้จ่ายมากขึ้นเราอาจมีชีวิตแบบนั้นได้

                โซเชียลมีเดียกระตุ้นอารมณ์ด้านลบให้เกิดขึ้น มีการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับเรื่องนี้ โซเชียลมีเดียในภาพรวมไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น จากหลายเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมักบอกว่ามีระดับความเครียดและความรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่า มีความมั่นใจในตัวเองน้อยกว่า ความรู้สึกแปลกแยกและไม่พอใจมักจบลงด้วยการช็อปปิ้งบำบัด หรือแสวงหาทางแก้ไขความไม่พอใจด้วยการซื้อสิ่งของ

                คนดังในโซเชียลมีเดีย (เช่น ดารา นักแสดง เซเลบ) และผลกระทบจากพวกเขา บริษัทหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ใช้เวลาไม่นานเพื่อให้ได้รับความสนใจ ด้วยการสร้างข่าวครึกโครมในโซเชียลมีเดีย บริษัทและแบรนด์เคยใช้เวลา เงิน และลงแรงเพื่อสร้างความนิยม แต่ปัจจุบันนี้พวกเขาสามารถทำสำเร็จภายใน 24 ชั่วโมง คนดังในโซเชียลมีเดียได้รับการว่าจ้างพวกเขา สามารถสร้างข่าวครึกโครมเกี่ยวกับกระแสใหม่แทบจะในทันที ทว่าการที่บางคนจ่ายเงินจ้างคนดังเหล่านี้ให้ถ่ายรูปคู่กับกระเป๋าสตางค์รุ่นใหม่ หรือรองเท้ายี่ห้อใหม่ ไม่ได้แปลว่ามันคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีในวันนี้ หรือวันหน้า

                โซเชียลมีเดียสำหรับผม ณ ตอนนี้ ให้โอกาสอันน่าอัศจรรย์ในการเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต แต่ก็เหมือนกับไฟ มันต้องใช้เวลาสักพักในสังคม เพื่อค้นพบว่าจะใช้ให้เกิดประโยชน์และไม่เป็นโทษได้อย่างไร ความหวังของผมในการเขียนหัวข้อนี้ คือเปิดเผยอันตรายบางอย่างในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดมากขึ้น

จะยึดถือความเห็นซึ่งไม่เป็นที่นิยมไว้ได้อย่างไร



บทความต้นฉบับ How to Hold an Unpopular Opinion
เขียนโดย JOSHUA BECKER



(ขอยืมภาพจาก http://mbhumanistsatheists.ca/articles/opinion)


“การเป็นตัวของตัวเองในโลกที่พยายามเปลี่ยนคุณให้เป็นอย่างอื่นอย่างไม่หยุดยั้ง คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
                โดย Ralph Waldo Emerson

                ไม่มีความเห็นใดที่เป็นเอกฉันท์ สิ่งที่ผู้คนร้อยเปอร์เซ็นต์เชื่อไม่เรียกว่าความเห็น แต่เรียกว่าข้อเท็จจริง นอกจากความจริงตามธรรมชาติ เช่น 2 + 2 = 4 ท้องฟ้ามีสีฟ้า แทบไม่มีความเชื่อใดที่ผู้คนทั้งหมดเชื่อมั่น

                การเปลี่ยนแปลงโดยคำนิยาม เรียกร้องให้เราอ้าแขนรับความเห็นใหม่หรือแนวคิดตรงข้าม ไม่ว่าเรากำลังแสวงหาการเปลี่ยนแปลงเพื่อตนเอง หรือสังคม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่ปราศจากแนวคิดใหม่ และแนวคิดใหม่ก็มักเผชิญกับการต่อต้านในระดับใดระดับหนึ่งเสมอ

                สำหรับผม สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากตัดสินใจทิ้งข้าวของที่ไม่จำเป็นต้องมี แล้วเริ่มใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ ผมโทรศัพท์หาแม่และบอกท่าน แม่ตกใจมาก ท่านมีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ ณ จุดหนึ่งท่านถึงกับอุทานเสียงดังว่าเราจะทานอะไรหากเลิกไปร้านขายของชำ

                ตอนนี้พวกเราหัวเราะให้กับความคิดเหล่านั้น ทว่าในเวลานั้นมันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังการเริ่มต้นของผม ผมก็ถูกกดดันให้ตัดสินใจว่าจะยอมตามความเห็นส่วนใหญ่ หรือจะทำตามสิ่งที่ใจบอกว่าจริงแท้

                กล่าวอย่างเป็นธรรม หลายปีหลังจากนั้น ผมเรียนรู้ที่จะนำเสนอมินิมอลลิสม์ในหนทางที่ต่างออกไป และตัดความเห็นที่มีร่วมกันออกไปก่อนนำเสนอ ปัจจุบันนี้มีน้อยคนมากที่โต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน ต่อความรู้และเรื่องราวเกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ของผม

                อย่างไรก็ตามในระดับมหภาค ความเห็นแย้งลดลงอย่างเชื่องช้า เพราะเสาหลักของแนวคิดเดิมนั้นสูงเกินไป ธุรกิจ ระบบเศรษฐกิจ รัฐบาล รวมทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต ตั้งอยู่บนการบริโภคและการซื้อหาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำนวนมาก การนำเสนอแนวคิดอะไรก็ตามที่พยายามทำลายระบบนั้นมักพบการต่อต้าน มันเรียกร้องให้เราต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อความเห็นยอดนิยมที่พัดพาเข้ามา

                ในการพยายามใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พวกเรากำลังทำตามความเห็นส่วนน้อย เราจะยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อความเห็นส่วนใหญ่ที่ประเดประดังเข้ามาได้อย่างไร ทั้งในการสนทนากับครอบครัวและเพื่อน รวมทั้งการพยายามใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ หรือต่อสู้กับความคิดของตัวเองตามลำพัง นี่คือหลักการบางส่วนที่ช่วยได้

                1. ฉลองให้กับเอกลักษณ์อันแตกต่างของคุณ ชีวิตของคุณไม่ได้มีเพื่อใช้ตามคนอื่น คุณไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนคนอื่น ไม่ได้มีเสียงเหมือนคนอื่น คุณค่าลึกสุดที่คุณยึดถือแตกต่างจากคนอื่น การทิ้งมันไปเพื่อทำตัวให้สอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ เป็นสิ่งโหดร้ายที่สุดที่คุณสามารถกระทำได้ และมันจะขัดขวางคุณจากการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

                2. จำไว้ว่าความนิยมกับความถูกต้อง ไม่เหมือนกัน ดังประโยคที่กล่าวว่า “อย่าคิดว่าคุณเดินถูกทาง เพราะทางนั้นมีคนมากมายเหยียบย่ำมาก่อน” เราต้องค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงของตนเองให้พบ และยึดถือความเห็นที่ถูกต้องไว้ ไม่ใช่ความเห็นอันแพร่หลาย

                3. คิดถึงประโยชน์ ค้นพบ จดจำ และใส่ใจกับประโยชน์จากความเชื่อของคุณ สามารถบอกตัวเองและคนอื่นอย่างรวดเร็วและชัดเจน ว่าทำไมคุณยึดถือแนวคิดนี้ และทำในแง่บวก ในกรณีของมินิมอลลิสม์ เมื่อผมอธิบายเหตุผลต่อผู้อื่น ว่าทำไมจึงทำตามค่านิยมส่วนน้อยอันนี้ ผมมักเน้นไปที่ประโยชน์ของการครอบครองข้าวของน้อยชิ้น เพื่อช่วยสร้างตัวอย่างวิถีชีวิตอันเข้มแข็งทั้งต่อตัวเองและต่อพวกเขา

                4. ค้นพบความเข้มแข็งจากชุมชน ไม่เป็นที่นิยม ไม่ได้แปลว่าโดดเดี่ยว จากการเมืองถึงศาสนา ถึงมุมมองต่อโลก ไม่มีความคิดเห็นใดที่ขาดหายไปจากโลกของเรา เป็นที่แน่ชัดว่าในขณะที่มันไม่เป็นที่นิยม ก็ยังมีคนอื่นที่เชื่อแบบเดียวกับคุณ ค้นหาพวกเขา และค้นพบการตัดสินใจที่ดียิ่งขึ้นในนั้น

                5. เข้าใจความเห็นแตกต่าง ใคร่ครวญจากหลายมุมมอง และถามคำถามที่ไปด้วยกันได้ เข้าใจความคิดเห็นของตนเอง แต่ก็พยายามอย่างหนักเพื่อเข้าใจข้อโต้แย้งที่มีต่อมันด้วย

                6. ยึดถือความเห็นอย่างถ่อมตน เมื่อสนทนาเกี่ยวกับแนวคิดทุกอย่าง ให้ทำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่นและต่อตนเอง พวกเราใช้ชีวิตด้วยความเชื่อบางอย่าง บางครั้งประสบการณ์เหล่านี้นำเราไปสู่ความจริง แต่บางครั้งก็นำเราออกห่าง ค้นหาความสมดุลอันเหมาะสมระหว่างความถ่อมตนกับความดุดันในการตัดสินความเห็นต่างๆ ของคุณ

                7. นำเสนอเรื่องราวของคุณอย่างหนักแน่น ผมคิดว่าการมีข้าวของน้อยชิ้นเป็นวีถีชีวิตที่ดีกว่า เพราะความเห็นนี้ ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องบอกผู้อื่น รวมทั้งนำเสนอตัวอย่าง เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ ชักชวนคนอื่นมาสู่วิถีชีวิตที่ดีกว่า คือการกระทำด้วยความรัก เราควรคิดเช่นนั้นและยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อสิ่งตรงข้าม อุปสรรคเหล่านี้ยังคงมีอยู่ เมื่อเราพูดถึงมินิมอลลิสม์และความเห็นส่วนน้อยอื่นๆ

                ชีวิตของคุณมีค่า  มันคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่คุณมี ชีวิตมีศักยภาพที่จะก่อเกิดสิ่งยิ่งใหญ่ อย่าตกลงสู่ความธรรมดาสามัญ โดยการใช้ชีวิตตามความเชื่อยอดนิยมเหล่านั้น

เลือกไขว่คว้าหาความสำเร็จ แต่อย่าสับสนกับการครอบครองมากขึ้น


บทความต้นฉบับ Choose to Pursue Success. Don’t Confuse It with Excess.
เขียนโดย   JOSHUA BECKER


                 (ขอยืมภาพจาก https://www.ellevatenetwork.com/articles/6479-quotes-from-women-who-define-success-for-themselves)            

                หัวใจ และจิตวิญญาณของเราโหยหาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าการสะสมวัตถุสิ่งของ
   
                ลองคิดดูสิ ไม่มีใครนั่งประจันหน้ากับมนุษย์อีกคนแล้วประกาศว่า เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเขา คือการครอบครองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

                เรามีความฝันอันยิ่งใหญ่กว่าในชีวิตของตนเอง เราพูดถึงสิ่งสำคัญและผลกระทบ เราอยากเป็นที่รู้จักในฐานะพ่อแม่ที่ดี สามีภรรยาที่ดี เป็นผู้ปกครองที่น่ารัก เป็นพลเมืองดี เป็นคนที่คอยเกื้อหนุนผู้คนที่อยู่รอบตัว

                เราใฝ่ฝันถึงการแก้ปัญหา เราปรารถนาจะใช้พรสวรรค์ ความสามารถและทรัพยากรที่มีเพื่อทำให้โลกเป็นสถานที่ดีขึ้น เราอยากรับรู้ว่าชีวิตของตนเองมีคุณค่า และยืนหยัดเพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง

                เราปรารถนาโอกาสและอิสรภาพ  เราอยากใช้ชีวิตในหนทางที่สอดคล้องกับคุณค่าประจำตัวของเรา ร่วมไขว่คว้าสิ่งมีค่าที่สุดต่อตนเอง และสร้างโอกาสให้ผู้อื่นได้ทำเช่นเดียวกัน

                เราคิดถึงความรัก ความหวัง ความสุข เราปรารถนาจะเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ เราเห็นคุณค่าของความหวังในชีวิต และปรารถนาจะมอบให้ผู้อื่นด้วย เราไขว่คว้าหาความสุขอันยั่งยืนในชีวิตที่สมบูรณ์

                ถ้าขอให้บอกว่า “ความสำเร็จในชีวิตของคุณมีหน้าตาเป็นอย่างไร” เราคงได้คำตอบมากมายหลากหลาย

                เราปรารถนาคุณค่า ความสำคัญ การสร้างแรงจูงใจและส่งผลกระทบในทางที่ดีต่อผู้อื่น ทว่าจากนั้นก็หันหลังกลับ แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่ไล่ตามสิ่งไม่สลักสำคัญ เราอาศัยอยู่ในโลกที่สร้างภาพให้การครอบครองเกินจำเป็น เป็นตัวแทนความสำเร็จ แล้วเราก็ตกหลุมพรางเหล่านี้บ่อยๆ

                ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความอยากได้ของลูกค้า รวมทั้งการครอบครองวัตถุ จำเป็นต้องทำให้ความต้องการวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สังคมของเราทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อผลิตความไม่พอใจและความอยากได้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

                โฆษณารอบตัวเราทุกวันนี้ ตอบสนองวัตถุประสงค์หนึ่งเดียวคือ กระตุ้นความไม่พอใจ ฉกชิงความปรารถนาจากส่วนลึกของเราไป รวมทั้งทำให้เราบริโภคมากกว่าที่ต้องการจริงๆ ข้าวของส่วนเกินกลายเป็นสิ่งบ่งบอกความสำเร็จของเรา

                เราเริ่มใช้เวลามากมายเพื่อหาเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้ซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมี เสียเวลาและพลังงานเพื่อดูแลรักษามากเกินจำเป็น จากนั้นก็กดนาฬิกาปลุกในเช้าวันจันทร์ เพื่อเริ่มวงจรซ้ำซากอีกครั้ง

                ทว่าการสะสมข้าวของส่วนเกิน เป็นเพียงเป้าหมายอันฉาบฉวย มันไม่ใช้สิ่งที่เราปรารถนามากที่สุดในชีวิตเดียวที่เรามี มันไม่ใช่ตัวแทนความสำเร็จที่แท้จริงของชีวิต อันที่จริงมันดึงเวลาส่วนใหญ่ของเราไปจากสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง

                การครอบครองสิ่งของมากเกินควร ขโมยเงิน เวลา พลังงาน และอิสรภาพของเราไป ในระหว่างทางเราลืมเลือนนิยามความสำเร็จที่แท้ไปในเสียงรบกวน และการสะสมสิ่งที่เราไม่ต้องการ

                ตระหนักถึงเป้าหมายสำคัญสูงสุดในชีวิตของคุณอีกครั้ง ประเมินค่าสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณแสวงหาใหม่อีกครั้ง ให้คำจำกัดความ “ความสำเร็จ” ด้วยตัวคุณเอง ออกไขว่คว้าหาความสำเร็จในแบบของคุณเอง และอย่าสับสนกับการครอบครองเกินจำเป็นอย่างโง่เขลา

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ ตอนที่ 2


เขียนโดย JOSHUA BECKER
บทความต้นฉบับ A New, Minimalist Economy

เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ (1)





                ความเข้าใจผิดประการที่สองที่ได้กล่าวไปข้างต้น ความเชื่อว่ามินิมอลลิสม์คือการไม่ใช้จ่าย

                มินิมอลลิสม์ในแง่วิถีชีวิต ไม่ได้เรียกร้องให้ผู้คนเลิกใช้เงินโดยสิ้นเชิง เพียงแค่เปลี่ยนทิศทางการใช้เงิน ให้ออกห่างจากการพยายามครอบครองวัตถุ มินิมอลลิสม์ให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น เช่น

                ประสบการณ์ : จากคอนเสิร์ต สู่การรับประทานอาหารนอกบ้าน ชมพิพิธภัณฑ์ ร่วมกิจกรรมกีฬา มินิมอลลิสต์ชื่นชอบประสบการณ์มากกว่าการครอบครองวัตถุ การใช้จ่ายจะเริ่มไปในทิศทางนั้นมากขึ้น

                การเดินทางและท่องเที่ยว : มินิมอลลิสต์จำนวนมากกล่าวว่ามันเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่สุด ผู้คนบางส่วนรับแนวคิดมินิมอลลิสม์มาใช้เพื่อเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ บางส่วนตระหนักว่าการเดินทางและท่องเที่ยวเป็นเพียงผลพลอยได้จากการมีข้าวของน้อยลง ทั้ง 2 แนวทางต่างส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจ การไม่ใช้เงินเพื่อครอบครองวัตถุแบบประเดี๋ยวประด๋าว ทำให้มีเงินพอท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมจำนวนมากก็จะถูกเรียกร้องให้ผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการนี้

                ศิลปะ : ไม่ใช่มินิมอลลิสต์ทุกคนที่มองว่าตัวเองเป็นศิลปินในทางปฏิบัติ หรือชื่นชอบศิลปะ แต่คาดได้ว่าเศรษฐกิจแบบมินิมอลลิสม์จะให้คุณค่ากับศิลปะมากขึ้น มินิมอลลิสม์ทำให้ผู้คนมีโอกาสฝึกฝนและชื่นชมศิลปะมากขึ้น

                ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากขึ้น : การใช้ชีวิตคือการบริโภค พวกเราต้องการอาหาร ที่อยู่และเสื้อผ้า ทั้งยังมีความปรารถนาและเป้าหมายที่อยากเติมเต็มในชีวิตอันแสนสั้น ความต้องการและเป้าหมายเหล่านี้จำเป็นต้องใช้สินค้าบางอย่าง มินิมอลลิสม์ไม่ได้ปฏิเสธการซื้อข้าวของ แต่ให้โอกาสเราได้ครอบครองสินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้น ในเศรษฐกิจแบบมินิมอลลิสต์ การออกแบบที่ดี ใช้งานได้หลากหลาย และคุณภาพดีเป็นที่ต้องการและถูกซื้อหา

                บริการ : ในธุรกิจแบบมินิมอลลิสม์ งานบริการเป็นที่ต้องการมากกว่าครอบครองสินค้าจากร้านขายปลีก ในฐานะทางออกชั่วคราว เพื่อนของผมเพิ่งจ้างแม่ครัวส่วนตัว เพื่อเติมตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวให้ครบ เขากล่าวว่ามินิมอลลิสม์คือเครื่องมือที่ทำให้เขาได้สิ่งนี้มา เพราะเขาใช้เงินซื้อสิ่งของน้อยลง เขามีเวลาว่างในตารางงาน และมีเงินจ้างบริการเหล่านี้ บริการที่ในระยะยาว คือการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดี ความเป็นอยู่ที่ดี และความสมบูรณ์

                การวิจัยและการแก้ปัญหา : Mr.Money ได้ให้ความเห็นว่าการเก็บออมและการลงทุน แสดงถึงพลวัตของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

                การเลิกบริโภคอย่างไม่หยุดหย่อน การใช้สินค้าร่วมกัน ทำให้ผู้คนสามารถเก็บออมเงินในธนาคาร ซึ่งจบลงในมือของผู้ประกอบการใหม่หรือธุรกิจที่มีอยู่ ผู้ซึ่งสามารถใช้เงินนั้นสร้างเทคโนโลยีใหม่ สร้างโรงงาน ลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ เปิดโอกาสให้พวกเขาเพิ่มความสามารถในการผลิต การลงทุนสร้างผลผลิต และผลผลิตเป็นสิ่งผลักดันมาตรฐานการใช้ชีวิต

                การใช้ร่วมกัน(sharing) : การเคลื่อนไหวนี้ได้ดำเนินการไปแล้วสักพัก เทคโนโลยีทำให้มันเป็นไปได้ ทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ถูกใช้ร่วมกันในปัจจุบัน ในหมู่ประชาชน มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ทั้ง Uber AirBnb Fon และ NiceRide มีตัวอย่างรอบตัวเราให้เห็น อุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตขึ้น ทำให้เราเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจในอนาคต อีกครั้งที่แต่ละคนเป็นตัวแทนความคิดสร้างสรรค์ของปัจเจก และจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ

                Public Good : สิ่งนี้เป็นตัวแทนประโยชน์สูงสุดของมินิมอลลิสม์ในระดับมหภาค มินิมอลลิสม์ให้โอกาสแก่ปัจเจกได้ฝึกฝนความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ในระดับกว้างขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน มินิมอลลิสม์ให้โอกาสเราเปลี่ยนทิศทางการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ให้ไปพ้นจากความต้องการของตนเอง และเริ่มใช้ในหนทางอันเป็นรูปธรรม เพื่อบรรจบกับความจำเป็นของผู้อื่น ทั้งการให้อาหารผู้หิวโหย สร้างบ้านเด็กกำพร้า รักษาสิ่งแวดล้อม คุ้มครองสัตว์ ต่อต้านการใช้อภิสิทธิ์ ทรัพยากรของพวกเราสามารถทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

                เศรษฐกิจจะสะดุดหากมินิมอลลิสม์ขยายสู่ระดับประเทศหรือไม่ แน่นอน เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีพื้นฐานอยู่บนการบริโภคเกินควรจะชะลอตัว มันจะสะดุดในระยะสั้น แต่จะเกิดการปรับเปลี่ยนตัวเองในที่สุด อย่างที่เคยเป็นมาเสมอ


เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ ตอนที่ 1


เขียนโดย JOSHUA BECKER
บทความต้นฉบับ A New, Minimalist Economy





               ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำถาม ผมนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของแม่ยาย เราเปิดโทรทัศน์ไปที่ช่อง MSNBC เพื่อดูสัมภาษณ์แทมมี่ สตรอเบล (Tammy Strobel) หลังจากปรากฏตัวในรายการ Today Show ใน New York Times แทมมี่ได้รับเชิญไปให้สัมภาษณ์ในเคเบิล เนตเวิร์ค เกี่ยวกับประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์และอาศัยอยู่ในบ้านหลังจิ๋ว

                เมื่อจบบทสนทนา พิธีกรถามคำถามสำคัญกับแทมมี่ว่า “หากทุกคนเป็นมินิมอลลิสต์และใช้ชีวิตเหมือนคุณ จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของเรา คุณเคยให้ความคิดเห็นถึงผลกระทบที่จะตามมาบ้างไหม” ในรายการสัมภาษณ์พิเศษ ซึ่งกินเวลาล่วงเลยไปนาน

                จากนั้นมาผมก็เข้าใจว่าคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของมินิมอลลิสต์ต่อระบบเศรษฐกิจของเราเป็นเรื่องสำคัญ และมีนัยยะสำคัญต่อเปอร์เซ็นต์จำนวนประชากร ในการสัมมนาครั้งหนึ่ง ผมถูกถามคำถามเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ หลังกิจกรรมที่ Phoenix CEO ก็มาคุยกับผมในเรื่องนี้เช่นกัน

                “โจชัว ผมเข้าใจที่คุณพูดเกี่ยวกับการครอบครองข้าวของน้อยลง ซึ่งผมเห็นด้วยในระดับปัจเจกบุคคล อย่างไรก็ตาม ความอยู่ดีกินดีของประเทศเรา ต้องพึ่งพาให้ผู้คนซื้อของที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมี ถ้ามีมินิมอลลิสต์มากระดับประเทศ เศรษฐกิจของเราคงพังพินาศ”

                ก่อนที่ผมจะตอบปัญหาที่เขากังวล ผมได้ใคร่ครวญถึงผลกระทบระยะสั้น และระยะถัดไปอีกเล็กน้อย บางทีสิ่งที่เขาพูดมาอาจถูก

                มีปัจจัยมากมายมหาศาลที่กระตุ้นให้เกิดการบริโภคเกินพอดีอย่างแพร่หลายในสังคมร่ำรวยในโลกทุกวันนี้ ในแง่เฉพาะตัว มันคือปัญหาในจิตใจ ที่ทำให้เกิดการบริโภคเกินพอดี ทั้งความโลภ ความอิจฉา การขาดความเห็นใจ ความปรารถนาจะทำให้ผู้อื่นประทับใจในตัวเอง ความภูมิใจ ความพยายามชดเชยบุคลิกที่บกพร่อง นิสัยชอบเสาะแสวงหาความสุขจากการครอบครองสิ่งของ การไม่ตระหนักถึงความเสียหาของการบริโภคเกินพอดี

                ทว่าหนักยิ่งกว่านั้น คือปัญหาจากสังคม ระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาคของพวกเรา ตั้งอยู่บนการบริโภคเกินพอดี และจำเป็นต้องให้ผู้คนทุกชนชั้นใช้จ่ายมากกว่าที่พวกเขามี ผู้ค้าปลีกที่หมดกำลังใจ ผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นต่ำ มักถูกรายงานว่าเป็นหายนะของระบบเศรษฐกิจ

                “เราต้องทำให้ผู้คนใช้จ่ายมากขึ้น” นี่คือประโยคยอดฮิตของนักข่าว ในฐานะหนทางเดียวที่จะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจที่กำลังฝืดเคือง อันที่จริง ในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวเศร้าเกี่ยวกับแนวโน้มการชำระหนี้ของผู้บริโภค “ถ้าผู้บริโภคเลือกเก็บเงินเพื่อชำระหนี้ ก็คาดถึงความเศร้าสลดล่วงหน้าได้เลย”

                คำถามแรกของผมหลังจากอ่านหัวข้อคือ สังคมแบบไหนที่เราสร้างขึ้นโดยเรียกร้องให้ผู้คนต้องเป็นหนี้ เพื่อประคับประคองมันไว้ มันจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน ทว่ายิ่งไปกว่านั้น ผมถูกเตือนให้นึกถึงคำถามที่ถูกถามเป็นประจำ ซึ่งได้ยินครั้งแรกจากการถามแทมมี่ ในรายการ MSNBC

                มินิมอลลิสม์กับความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ด้วยกันได้หรือไม่

                ผมเชื่อว่าทำได้ และไม่ใช่ผมคนเดียวที่เชื่อเช่นนั้น สำหรับมือใหม่ และผู้คนที่แย้งว่าทั้งสองเข้ากันไม่ได้ พวกเขามองพลาดภาพใหญ่ของ 2 ด้านที่สำคัญไป นั่นคือความยืดหยุ่นในระบบทุนนิยม และความเข้าใจผิดว่ามินิมอลลิสม์คือการไม่ใช้จ่ายใดๆ เลย

                อย่างแรกเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในระบบเศรษฐกิจของเรา มีความเชื่ออย่างแพร่หลายว่าตลาดและธุรกิจคอยควบคุมพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งถูกต้องในระดับหนึ่ง นักการตลาดใช้เวลาหลายชั่วโมง พยายามสร้างนิสัยใหม่ให้ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคซื้อของที่พวกเขาผลิตขึ้นโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโดยแก่นแท้ คือการจัดหาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ไม่ใช่เหตุผลอื่น

                ตัวอย่างความสอดคล้องต้องกันในการผลิตและขายเสื้อผ้าราคาถูกตามกระแส การจะทำเช่นนั้นได้ พวกเขาต้องจ่ายค่าจ้างราคาถูกอันไม่เป็นธรรม ให้กับแรงงานจากที่ไหนสักแห่ง เพื่อผลิตเสื้อผ้าที่ราคาถูกมากๆ ได้ เราต่างยกมือขึ้นด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ขับรถไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อเสื้อยืดราคาถูก ผลที่ตามมาคือ สินค้าราคาถูก ทั้งเสื้อยืด เสื้อกันหนาว ชุดเดรส รองเท้า ถูกผลิตออกมามากขึ้น

                อย่างไรก็ตาม หากในที่สุดผู้บริโภคจำนวนมากกล่าวว่า “พอแล้ว ฉันจะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อเสื้อผ้า เพื่อให้แน่ใจว่าแรงงานจากทั่วทุกมุมโลกจะได้ทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม” และทำอย่างนั้นจริงๆ คลังสินค้าเหล่านี้จะเปลี่ยนการกระทำและแบบแผนการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม ที่พวกเขาผลิตเสื้อผ้าขาย

                ธุรกิจอาจสร้างอิทธิพลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคในบางแง่มุม ทว่าในกฎเกณฑ์ระยะยาว พวกเขาตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค มากกว่าสร้างขึ้นมา

                ซึ่งทำให้ผมย้อนกลับไปยังทำถามเริ่มต้น เศรษฐกิจของพวกเราจะสะดุดและถดถอยหากคนส่วนใหญ่กลายเป็นมินิมอลลิสม์หรือไม่ ในระยะสั้น ใช่ มันจะเกิดการสะดุดระหว่างทางอย่างแน่นอน ทว่าเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนตลาดเสรี หลักการลงทุน สามารถนำเสนอตัวเองในรูปแบบใหม่ได้เสมอ จิตวิญญาณผู้ประกอบการ จะพบหนทางใหม่ในการสร้างรายได้เสมอ และพวกเขาจะทำแนวทางใหม่ให้สอดคล้องกับมินิมอลลิสม์

เศรษฐกิจใหม่แบบมินิมอลลิสต์ (2)

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...