วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

มินิมอลลิสม์ที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างไร


บทความต้นฉบับ What is Rational Minimalism?
ผู้เขียน JOSHUA BECKER

                บางคนที่ผมสนทนาด้วยรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำว่ามินิมอลลิสม์ สำหรับพวกเขาคำนี้ปลุกภาพความขาดแคลน ผนังที่ดูแห้งแล้ง ตู้อันว่างเปล่า ก็อาจใช่ พวกเขาตัดสินว่าไม่มีทางจะรื่นรมย์กับชีวิต พวกเขาดูเหมือนสันนิษฐานว่าการลดน้อยลงคือการโยนทิ้งไปทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด แทบจะทุกอย่าง มินิมอลลิสม์ไม่เหมือนที่พวกเขาคิด มันคือการใช้ชีวิตโดยครอบครองน้อยลง ตามที่ผมมักพูดเสมอว่า “น้อยลงต่างจากไม่มีอะไรเลย”




                มินิมอลลิสม์คือความตั้งใจให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด และขจัดทุกสิ่งที่ขัดขวางสิ่งนั้นออกไป คือการใช้ชีวิตกับสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคนเสมอ

                ถ้าคุณเดินเข้าไปในบ้านผมทุกวันนี้ คุณจะไม่คาดเดาในทันทีว่าครอบครัวมินิมอลลิสต์อาศัยอยู่ที่นี่ ในห้องนั่งเล่นของพวกเรา คุณจะพบที่นั่งสำหรับ 5 คน ภาพครอบครัว พรม โต๊ะกาแฟ นาฬิกาแขวนผนัง และโทรทัศน์ ในตู้เสื้อผ้าคุณจะพบเสื้อแจ็กเก็ต หมวกเบสบอลล์ และเครื่องนุ่งห่มสำหรับฤดูหนาวบางส่วน ในห้องของลูกๆ คุณจะพบหนังสือ อุปกรณ์ทำงานประดิษฐ์ กลองชุด บ้านเป็นระเบียบไม่รกรุงรังแต่ไม่ว่างเปล่า

                พวกเราใฝ่หาชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ ทว่าในขณะเดียวกันพวกเรายังคงใช้ชีวิต ยังคงหายใจ เป็นมนุษย์ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา การใช้ชีวิตคือการบริโภค พวกเรายังต้องครอบครองสิ่งของ ทว่าพยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมข้าวของมากเกินควร นั่นคือความหมายของคำว่า “มินิมอลลิสม์อันสมเหตุสมผล” ที่ผมใช้ มันคือหนทางสู่การครอบครองน้อยลง ผมไม่ได้สนับสนุนให้ขจัดทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถครอบครองได้ทิ้งไป ไม่มีกฎตายตัวให้ทำตาม  ผมสนับสนุนให้ผู้คนทิ้งสิ่งไม่จำเป็น เพื่อให้พวกเขาสามารถไขว่คว้าเป้าหมายของชีวิตได้ดียิ่งขึ้น กระบวนการนี้เรียกร้องให้ใช้เหตุผล ความตั้งใจ การแยกแยะว่าอะไรจะเก็บอะไรจะทิ้ง ตลอดทั้งกระบวนการ

                ขอใช้ชีวิตของผมเป็นตัวอย่าง ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ในชานเมืองฟินิกส์ มีลูกวัยรุ่น 2 คน พวกเราเข้าร่วมกับชุมชน ชอบสร้างความสนุกสนาน ชอบมอบน้ำใจไมตรี รวมทั้งเป็นเจ้าภาพต้อนรับสมาชิกกลุ่มเล็กจากโบสถ์ที่ห้องนั่งเล่น พวกเราชอบเวลาลูกๆ พาเพื่อนๆ มาเล่นที่บ้าน ผมเป็นนักเขียน ภรรยาของผมเป็นนักบัญชี ชีวิตของพวกเราไม่เหมือนคนอื่น

                หากเราเปลี่ยนเป็นมินิมอลลิสต์ เราก็ต้องเป็นมินิมอลลิสต์ในแบบของเราโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกร้องให้ตั้งคำถาม ให้และรับ ระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด และผ่อนปรนพอจะเปลี่ยนแนวทางเมื่อจำเป็น มันต้องเป็นมินิมอลลิสม์ในแบบที่ให้อิสระเราไขว่คว้าสิ่งที่หลงใหล ขณะเดียวกันก็ละทิ้งทุกสิ่งที่กีดขวางเราจากเป้าหมายนั้น

                มินิมอลลิสม์ที่ส่งผลดีต่อพวกเรา แทบจะต่างจากมินิมอลลิสม์ที่ส่งผลดีต่อคุณอย่างสิ้นเชิง ค้นหาหนทางมินิมอลลิส์ที่เหมาะสมกับคุณ แนวทางที่ไม่ยุ่งยาก ทว่ามีอิสระและมีรากฐานจากสิ่งที่คุณให้ค่า ที่คุณปรารถนาและหลงใหล

                ผมหลงใหลในจิตวิญญาณ ในครอบครัวของผม ในความรัก และการโน้มน้าวใจผู้อื่น ผมให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด มินิมอลลิสม์คือเครื่องมือทำให้ได้สิ่งเหล่านี้มา มันขจัดอุปสรรคทางกายภาพออกไป ดังนั้นผมจึงสามารถค้นพบสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม ผมขจัดบางอย่างออกไปอย่างไร้ปราณี เพื่อจะได้จริงใจต่อเป้าหมายของผม แต่ถ้าของบางอย่างช่วยให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ผมจะเก็บไว้และใช้มัน โดยไม่รู้สึกผิดกับของเหล่านั้นเลย

                คุณอาจเป็นเหมือนกันเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางมินิมอลลิสม์ อย่าเข้าใจผิดด้วยการคิดว่าคุณต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีอะไรเลย ขอให้ใช้ชีวิตกับข้าวของอะไรก็ตาม ที่มอบชีวิตในแบบที่คุณต้องการ นี่คือแนวทางอันสมเหตุสมผลสู่การครอบครองให้น้อยลง มันคือหนทางเดียวที่จะมอบอิสระให้คุณได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เส้นทางมินิมอลลิสม์ของแอดมิน


บทความนี้เล่าเรื่องมินิมอลลิสม์ของแอดมินแบบคร่าวๆ จ้า      

         ตอนแรกเราไม่ได้เริ่มจากมินิมอลลิสม์โดยตรง เริ่มจากการซื้อหนังสือ “ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านครั้งเดียว” ของคนโด มาริเอะมาอ่าน เพราะอ.ที่มหาลัยกับรุ่นพี่แนะนำว่าดี อ่านไปได้ไม่มากก็เลิกอ่าน เพราะรู้สึกว่าเป็นนามธรรมเกินไป ต่อมาไปปฏิบัติธรรม 2 เดือน ช่วงกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมปี 2561 ตอนนั้นใช้ชีวิตแบบ extreme minimalist โดยที่ยังไม่รู้จักคำว่ามินิมอลลิสม์ เรามีข้าวของเท่าที่จำเป็นจริงๆ ใส่ชุดขาวเหมือนเดิมทุกวัน  ประสบการณ์ช่วง 2 เดือนนั้น ทำให้รู้ว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตโดยมีข้าวของจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็นได้ ของทุกอย่างมีไว้เพื่อใช้จริงๆ ไม่ได้มีเพื่อความสวยงามหรือเอาไว้อวดคนอื่น หรือเอาไว้สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง



(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/113364115599296315/)


                พอกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ นิสัยเดิมๆ ก็กลับมา แต่ประสบการณ์ extreme minimalist ในช่วงนั้น ทำให้เกิดคำถามบางอย่าง ที่อยากทำความเข้าใจ จึงอ่านหนังสือชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านครั้งเดียวจนจบ แล้วซื้อหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไปมาอ่านเพิ่ม แล้วก็พบว่าการใช้ชีวิตช่วงปฏิบัติธรรม เป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงกับมินิมอลลิสต์สาย extreme ที่มีข้าวของเท่าที่จำเป็นจริงๆ หลังจากอ่านหนังสือสองเล่ม บวกกับอ่านประสบการณ์จัดบ้านแนวคมมาริของรุ่นพี่ เรารู้สึกชอบแนวทางแบบคมมาริมากกว่า เพราะเก็บไว้เฉพาะของสำคัญที่ทำให้เรามีความสุข จำนวนของที่มีจึงมากกว่าแนวทางของหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ซึ่งมีข้าวของเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

                หลังจากตัดสินใจแล้ว ก็ทำการจัดบ้านแบบรวดเดียวจบตามแนวทางคมมาริ ใช้เวลาสองเดือนกว่า ทิ้งและบริจาคข้าวของไปจำนวนมาก แล้วก็ทดลองใช้เสื้อผ้าชิ้นหลักเพียง 20 ชิ้น มี 4 สี คือขาว เทา ดำ น้ำเงิน เก็บบางส่วนไว้อีกฝั่งของตู้เสื้อผ้า เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถอยู่ได้โดยมีเสื้อผ้าชิ้นหลักเพียง 20 ชิ้นหรือไม่ จากวันนั้นผ่านไปหนึ่งปีแล้ว พบว่าเสื้อผ้าชิ้นหลัก 20 ชิ้นเพียงพอ หลังจากจัดบ้านแบบคมมาริ ห้องของเราก็ไม่กลับมารกอีกเลย ชีวิตไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ ไม่ได้มีเหตุการณ์ดีๆ อะไรเกิดขึ้นเหมือนชื่อหนังสือ สิ่งที่ดีคือนิสัยดีขึ้น เป็นระเบียบมากขึ้น ของไม่หาย หาของเจอเสมอเพราะเก็บที่เดิมทุกครั้ง แล้วก็ทำความสะอาดบ้านง่ายขึ้นด้วย

                ในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปี 2561 เราไปปฏิบัติธรรมอีก 2 เดือน ผู้คนในชุมชมผู้ปฏิบัติธรรมจะมีข้าวของจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็นจริงๆ และแต่งกายอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิมทุกวัน จึงไม่มีการเปรียบเทียบเรื่องสิ่งของระหว่างกัน ซึ่งทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องพยายามซื้อข้าวของเพื่อทำให้ตัวเองดูสวยดูดี เพื่อให้ใครประทับใจ แม้ไม่ต้องเปรียบเทียบเรื่องข้าวของ แต่เราก็ยังเปรียบเทียบอย่างอื่นที่เป็นนามธรรมกว่า อย่างความสามารถ บางทีก็มีความหยิ่งทะนง บางทีก็รู้สึกด้อยค่า

                หลังจากกลับมาใช้ชีวิตปกติ คำกล่าวของผู้เขียนหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ที่ว่าเขารู้สึกเป็นอิสระ เมื่อไม่ต้องเปรียบเทียบความสามารถของตัวเองกับผู้อื่น ทั้งยังกล่าวว่าความสามารถก็เช่นเดียวกับสิ่งของ มันไม่ใช่สิ่งบ่งบอกคุณค่าของตนเอง ข้อความเหล่านี้ทำให้เราอยากเข้าใจมินิมอลลิสม์ในแง่ทัศนคติเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องเทคนิควิธีการลดปริมาณกับจัดเก็บข้าวของ เราคิดว่าตัวเองทำได้ดีพอแล้ว โดยทำตามวิธีคมมาริ การศึกษามินิมอลลิสม์ของเราจึงมุ่งไปที่การทำความเข้าใจแนวคิดและทัศนคติ

                พอได้อ่านบทความและดูยูทูปของมินิมอลลิสต์ชาวต่างชาติ ก็พบว่าปัญหาที่ตัวเองมี มินิมอลลิสต์บางคนก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการซื้อของบางอย่างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นประทับใจ ละเอียดขึ้นมาหน่อย คือการทำบางอย่างที่ตัวเองไม่ได้อยากทำจริงๆ และไม่ได้สำคัญกับตัวเอง เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองและทำให้คนอื่นประทับใจ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมาชิกในบ้าน ซึ่งเราพบว่าการทำแบบนี้ไม่มีเคยสำเร็จจริงๆ สักที และมีแต่นำความทุกข์มาให้

                เราเรียนรู้จากมินิมอลลิสต์คนอื่นที่มีปัญหาเดียวกัน และลองทำตาม โดยการถามว่าสิ่งที่อยากซื้อ หรือต้องทำ มีความสำคัญต่อตัวเองจริงหรือไม่ สิ่งนั้นหรือการกระทำนั้น สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตตัวเองไหม เราซื้อหรือทำบางสิ่งเพื่อให้คนอื่นนิยมชมชอบหรือเปล่า การถามคำถามอย่างรอบคอบ ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีปัญหานี้ มีเพื่อนบางคนที่ไม่มีปัญหานี้เลย และไม่เข้าใจว่าเราทำแบบนั้นไปทำไม มินิมอล ลิมส์ช่วยนำทัศนคติผิดๆ ที่สร้างความทุกข์แก่เราออกไป ทำให้เราทุกข์น้อยลง

                ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ให้กับคนที่ต้องการ แต่ตัวเองยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงใช้การแปลบทความจากมินิมอลลิสต์ต่างประเทศ ที่ลงในบล็อกสาธารณะ เป็นภาษาไทย คิดว่าเขาคงไม่ว่าอะไร เพราะเขียนให้อ่านฟรีอยู่แล้ว งานแปลเป็นงานที่เราพอจะทำได้เพื่อเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ อยากเขียนเองด้วย แต่เขียนเองต้องคิดมากกว่า ตอนนี้จึงมีแค่รีวิวหนังสือ

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

3 เรื่องโกหกที่ขวางฉันจากการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น



บทความต้นฉบับ  Three Lies That Kept Me From Simplifying My Life
เขียนโดย  Allison of AllisonFallon.com





           ฉันจะสามารถจัดการสิ่งของที่อยู่ในครอบครองให้เรียบง่ายขึ้นได้ไหม ฉันไม่แน่ใจ แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องนั้น ก็ยิ่งตระหนักว่ามี 3 เรื่องโกหกหลักๆ ที่ขวางฉันจากการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น เพื่อไล่ตามความฝัน

                “คุณไม่มีทางรู้ว่าตัวเองมีข้าวของมากมายแค่ไหน จนกระทั่งคุณพยายามยัดมันลงกล่อง”
                Allison Vesterfelt

                มันเริ่มต้นเมื่อเพื่อนของฉันถามว่า “เธอจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน” คำตอบของฉันคือ ฉันจะเลิกทำงาน ย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์ ขายทุกอย่าง ไปท่องเที่ยว 50 รัฐ แล้วเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้น ปัญหาเดียวคือ เมื่อพูดออกมาดังๆ ฉันจึงรู้ว่าอยากทำมันมากแค่ไหน

                จะเป็นไปได้เหรอ ที่ฉันจะลดปริมาณข้าวของให้น้อยลงจนกระทั่งใส่ในรถได้ ละทิ้งเพื่อนฝูงและครอบครัวไว้เบื้องหลัง เปลี่ยนนิสัยการจับจ่าย และละทิ้งพันธะต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตยุ่งเหยิง ฉันจะสามารถอาศัยอยู่ในรถตลอด 1 ปีได้ไหม ฉันไม่แน่ใจ แต่งยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งตระหนักว่ามีเรื่องโกหก 3 เรื่องหลัก ที่ขัดขวางฉันจากการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น เพื่อทำตามความฝัน

                เรื่องโกหกเหล่านั้นคือ

                นี่ไม่ใช่ทางของฉัน

              ในเวลาเดียวกับที่ฉันฝันว่าจะเดินทางนานเป็นปี ฉันก็ซื้อบ้าน และบอกตัวเอง (อย่างลับๆ) ถ้าฉันออกท่องเที่ยวอันบ้าบอ ฉันจะไม่มีวันได้แต่งงานและมีชีวิตที่ดี นี่คือชีวิตแบบที่ฉันเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีเพื่อน สามี หรือเจ้านายดีๆ ที่ไหนจะจริงจังกับฉัน ถ้าฉันลาออกจากงานแล้วขายข้าวของทุกอย่าง

                นี่คือการก้าวถอยหลังไม่ใช่หรือ แต่ว่า...ฉันได้รับแนวคิดเรื่องซื้อบ้านและทำงานที่ตัวเองไม่มีความสุขมาจากไหน ฉันควรทำอย่างไร มันใช่จริงๆ หรือ แล้วเธอเป็นใคร มันไม่ใช่ฉันแน่ เพราะฉันรู้สึกทุกข์

                เมื่อฉันเลิกคิดว่าตัวเองต้องทำตามกฎเกณฑ์บางอย่าง เพื่อให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ ฉันได้รับการปลดปล่อย ให้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง และกลายเป็นคนที่ฉันอยากเป็น เดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่ออกเดินทางไปบนถนน ก็จะไม่มีวันได้พบกับสามีของฉัน ผู้ซึ่งอ่านเรื่องราวของฉันแล้วบอกตัวเองว่า “ฉันต้องพบผู้หญิงคนนั้นให้ได้ เธอช่างร้อยแรง” (เขาพูด ไม่ใช่ฉัน)

                ผู้คนจะปฏิเสธฉัน ถ้าฉันไม่มีข้าวของดีๆ

                นี่คือเรื่องโกหกที่ฉันต้องคอยขุดรากถอนโคนออกไป ความคิดนี้ดูเหมือนจะงอกขึ้นมาใหม่หลายต่อหลายครั้งตลอดการเดินทาง อย่างไรก็ตาม ฉันมีรอยประทับของความเชื่อว่า จนกว่าจะมีชุดสวยๆ บ้านดีๆ ซึ่งมีอ่างน้ำอุ่น และเรือที่สามารถใช้พาเพื่อนๆ ออกไปข้างนอกในวันหยุด ผู้คนก็จะปฏิเสธฉัน

                ใช้เวลาสักนาทีคิดถึงความไร้เหตุผลของตรรกะนี้

                เมื่อใช้เวลาสักครู่คิดถึงผู้คนที่ฉันชื่นชอบมากที่สุด และคุณสมบัติที่ฉันชื่นชมในแต่ละคน คือความใจดี เป็นมิตร สุภาพ เป็นผู้ฟังที่ดี มีความอดทน ฉันไม่ได้ใช้เวลาสักนาทีคิดถึงข้าวของที่พวกเขามี  ถ้าบางคนยอมรับฉัน เพราะข้าวของที่ฉันครอบครองและสามารถแชร์กับพวกเขาได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับฉันอย่างแท้จริง

                การทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น ให้โอกาสฉันได้เติบโต และงอกงามออกมาจากรากเหง้าแห่งความไม่ปลอดภัยในบริเวณนั้น ความจริงคือ เมื่อฉันทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น ฉันกลับมีเพื่อนเพิ่มขึ้น ไม่ใช่น้อยลง มิตรภาพของฉันลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้น ฉันเครียดน้อยลง รื่นรมย์กับการเดินทางไปรอบๆ รู้สึกปลอดภัยกับตัวเองมากขึ้น ใช้คนอื่นจากสิ่งที่พวกเขามอบให้ฉันน้อยลง ความเรียบง่ายและความจริงใจ คือคุณสมบัติอันน่าดึงดูด

                ฉันไม่สามารถดูแลตัวเองได้

                ฉันกังวลว่าถ้าทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น ฉันจะต้องสละความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และหันไปพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันกลัวว่าจะไม่สามารถจ่ายใบเสร็จหรือซื้อหาข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ดำรงชีพ แต่เมื่อฉันอนุญาตให้ตัวเองนั่งลงพิจารณา ฉันตระหนักว่าฉันพึ่งพาคนอื่นในด้านต่างๆ อยู่แล้ว การทำชีวิตให้เรียบง่าย ให้โอกาสฉันได้ยอมรับความจริงนี้ แล้วพัฒนาความสามารถในการให้และรับของขวัญ

                ยิ่งกว่านั้น การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ทำให้ฉันจ่ายใบเสร็จหรือซื้อหาข้าวของที่ต้องการยากขึ้น ที่จริงมันง่ายขึ้นด้วยซ้ำ ข้าวของที่น้อยลง ทำให้หนี้สินน้อยลง มีความเครียดต่องานที่ฉันเกลียดน้อยลง ยิ่งเตรียมตัว ยิ่งรู้สึกว่าต้องดูแลตัวเองทั้งอารมณ์และทางกายน้อยลง รวมทั้งพึ่งพิงคนอื่นเพื่อรวบรวมเศษเสี้ยวความเป็นฉันน้อยลงด้วย

                เมื่อฉันตระหนักว่าความคิดเหล่านี้บงการชีวิตฉันมายาวนาน ฉันจึงตอบโต้มันด้วยความจริง ฉันสามารถทำสิ่งที่ต้องการทำมาตลอด ฉันลาออกจากงาน ย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์ ใช้เวลา 1 ปีขับรถไปตามที่ต่างๆ เพื่อเขียนหนังสือซึ่งเป็นความฝันในชีวิตให้สำเร็จ

                ตอนนี้ฉันไม่เพียงมีสัมภาระเล็กน้อยในการเดินทางระยะยาว ยังมีกระเป๋าเดินทางน้อยลงด้วย ฉันไม่เคยเสียใจสักนาทีเดียว

รีวิวหนังสือ สุดท้ายก็ต้องทิ้ง




               การรีวิวหนังสือ “สุดท้ายก็ต้องทิ้ง” ในครั้งนี้ ก็จะเหมือนเล่มก่อนหน้า คือรีวิวผ่านมุมมองส่วนตัว ใครที่อยากอ่านรีวิวแบบเป็นการเป็นงาน สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ของอมรินทร์ค่ะ



              
                หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณยายชาวสวีเดน นามว่า มาร์การีตา แมกนัสสัน เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับการจัดบ้านเพื่อเตรียมตัวตาย เรียกว่า Death Cleaning คุณยายอธิบายว่าปกติเดธคลีนนิ่งจะทำหลังจากบุคคลนั้นเสียชีวิตไปแล้ว โดยสามี ภรรยา ลูกๆ หรือญาติพี่น้องของผู้ตาย ซึ่งคุณยายเองได้ทำเดธคลีนนิ่งให้สามีที่ตายไป สิ่งที่ฉันแปลกใจมากคือทรัพย์สมบัติของสามีของคุณยายมีมาก จนกระทั่งต้องจ้างโรงประมูลให้มาช่วยจัดการ คุณยายไม่ได้บอกว่าเธอมีฐานะทางเศรษฐกิจอย่างไร แต่คาดว่าน่าจะฐานะดีไม่น้อย เพราะสามีของเธอมีทรัพย์สินค่อนข้างเยอะ หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นภาพวัฒนธรรมอันน่าสนใจของสวีเดน ซึ่งหลายอย่างก็ต่างจากไทย

                การต้องจัดการเดธคลีนนิ่งให้สามี ทำให้คุณยายคิดว่าควรทำเดธคลีนนิ่งให้ตัวเองเสียตั้งแต่ก่อนตาย เพื่อทรัพย์สมบัติต่างๆ จะได้ไม่เป็นภาระแก่ตัวเธอที่แก่ตัวและอ่อนแอลงทุกวัน รวมทั้งไม่เป็นภาระของลูกหลานที่ต้องมาจัดการทรัพย์สมบัติของเธอ คุณยายทำพินัยกรรมและคุยกับลูกหลานว่าจะยกอะไรให้ใครบ้าง ในหนังสือเล่มนี้เธอเชิญชวนให้คนในวัยเดียวกันมาทำเดธคลีนนิ่ง ทั้งยังกล่าวว่าข้อดีของการทำเดธคลีนนิ่ง คือการเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและลูกหลานได้มีโอกาสคุยเรื่องความตาย ซึ่งเป็นเรื่องพูดได้ยากในสังคมสวีเดน

                เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือคือการบอกข้อดีของการทำเดธคลีนนิ่งล่วงหน้า ซึ่งก็คือการลดปริมาณข้าวของให้เหลือเท่าที่พอใช้ และไม่สร้างภาระในการดูแลรักษาให้แก่คนชราและผู้ป่วย รวมทั้งการทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินล่วงหน้า คุณยายพยายามเชิญชวนให้ผู้อ่านมาทำเดธคลีนนิ่งด้วยกัน ส่วนวิธีการจัดการข้าวของมีไม่มาก และไม่ค่อยชัดเจนนัก คุณยายไม่ได้บอกวิธีการเป็นขั้นตอน แต่กล่าวในลักษณะบรรยายไปเรื่อยๆ  ลักษณะการเขียนเป็นแบบเล่าเรื่อง ผู้อ่านต้องพยายามจับใจความเอาเอง บางส่วนก็ยืดยาดไปหน่อย ซึ่งคงเป็นไปตามวัยและการใช้ชีวิตของคุณยาย

                ฉันซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพราะเกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ ซึ่งหนังสือก็เกี่ยวกับมินิมอลลิส์จริงๆ แต่เป้าหมายของมินิมอลลิสม์ในหนังสือเล่มนี้ ต่างจากหนังสือมินิมอลลิสม์เล่มอื่น ที่เขียนโดยคนหนุ่มสาว อย่างเช่น ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านครั้งเดียว กับอะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป รวมทั้งบทความและคลิปในยูทูป ซึ่งใช้แนวคิดแบบมินิมอลลิสม์ เพื่อลดปริมาณข้าวของและสิ่งอื่นๆ ที่ไม่สำคัญลง เพื่อให้สามารถค้นพบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญและมีความหมายต่อตัวเองอย่างแท้จริง เพื่อจะได้นำเวลา เงิน และพลังงานไปทุ่มเทให้กับสิ่งเหล่านั้น

                หนังสือเล่มนี้ใช้มินิมอลลิสม์เพื่อลดปริมาณข้าวของ ให้เหลือเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในช่วงสุดท้ายของชีวิต เพื่อจะทิ้งทุกอย่างในท้ายที่สุด เมื่อความตายมาเยือน ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่คาดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน สำหรับคนหนุ่มสาวที่ยังใฝ่ฝันถึงคุณค่าบางบางอย่างในชีวิต ผู้ที่กำลังแสวงหาตัวตน ผู้อยากประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่า หนังสือเล่มนี้คงไม่เหมาะ เพราะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ กระนั้นก็ไม่เสียหายที่จะลองอ่าน หนังสือเล่มนี้อาจทำให้คุณได้รับรู้มุมมองที่กว้างขึ้น

ช่วยลูกๆ เอาชนะความอิจฉา


บทความต้นฉบับ Helping Kids Overcome Envy
เขียนโดย JOSHUA BECKER




               คุณไม่สามารถดักจับความอิจฉา คุณไม่อาจจ่ายเงินเกินกำลังเพื่อหยุดความริษยา แทนที่จะทำเช่นนั้น เราควรสอนเด็กๆ ให้รับมือกับความอิจฉาและเอาชนะมัน

                อุปสรรคที่พ่อแม่ทั้งหลายมักมีร่วมกันบนเส้นทางการทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้น คือความคิดว่าต้องปกป้องลูกๆ จากความอิจฉา พวกเขากลัวว่าถ้าบ้านไม่เต็มไปด้วยข้าวของทันสมัย ผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศ ลูกๆ ของพวกเขาจะรู้สึกอิจฉาเด็กคนอื่น ทว่าบทบาทของพวกเราในฐานะพ่อแม่ ไม่ใช่การขจัดโอกาสที่จะก่อให้เกิดความอิจฉา บทบาทของพวกเราคือการเลี้ยงลูกอย่างใส่ใจ และฝึกฝนให้พวกเขาครุ่นคิดอย่างมีสติเกี่ยวกับความอิจฉา รวมทั้งเรียนรู้ที่จะเอาชนะมัน

                ไม่กี่ปีก่อน ผมขับรถพาลูกชายและเพื่อนๆ 5 คน ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงไปยังร้านอาหารเพื่อฉลองวันเกิดของเขา เด็กแต่ละคนอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน ทว่ามันยังคงเป็นตัวแทนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่กว้าง อย่างที่พอเดาได้ หัวข้อสนทนาบนรถของพวกเขามีหลากหลาย ทว่าบทสนทนาหนึ่งที่ดังจากเบาะหลัง กระตุ้นความสนใจของผมมากกว่าอย่างอื่น

                เด็กผู้ชาย 2 คนที่นั่งข้างหลัง เรื่องเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับของอีกคน แน่นอน ผมรู้ว่ามันเป็นบทสนทนาที่พบได้ทั่วไป เมื่อก่อนผมเองก็เคยมีบทสนทนาคล้ายๆ กัน แต่สิ่งที่ผมพบว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ และกระตุ้นให้ผมแอบฟัง คือระดับความอิจฉาต่อกันและกันที่ปรากฏขึ้น

                ตอนแรก พวกเขาเริ่มเปรียบเทียบเครื่องเล่นเกมส์ เปรียบเทียบว่าใครมีจำนวนเกมส์มากกว่า จากนั้นก็ยี่ห้อรถยนต์ที่พ่อกับแม่ของพวกเขาขับ ตามด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับขนาดของบ้าน แล้วการพูดคุยก็เปลี่ยนไปเป็นการเปรียบเทียบนักกีฬา ทีมกีฬา และเรื่องเด็กผู้หญิง ในแต่ละครั้งที่เปลี่ยนหัวข้อ พวกเขาพยายามเอาชนะอีกฝ่ายเสมอ

                เด็กผู้ชาย 2 คนนั้นมาจากครอบครัวฐานะดี ผมเห็นได้ว่าพวกเขาอิจฉาอีกฝ่าย รวมทั้งอิจฉาการจับจ่ายข้าวของบางอย่างของพ่อแม่อีกฝ่ายด้วย

                ผมได้เรียนรู้บทเรียนการเลี้ยงลูกที่สำคัญยิ่งในวันนั้น คุณไม่สามารถดักจับความอิจฉา หรือใช้จ่ายเพื่อเอาชนะมัน เกมส์การแข่งขันคือเกมส์ที่ไม่มีวันชนะ ในหมู่คนที่เลือกเล่น ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ มีแต่ผู้แพ้ ไม่มีใครสามารถครอบครองได้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถซื้อได้มากพอจะขจัดความอิจฉาออกไปได้ จะมีบางสิ่งให้อิจฉาอยู่เสมอ

                แทนที่จะพยายามใช้จ่ายเกินกำลังเพื่อขจัดความอิจฉา เราต้องสอนวิธีรับมือและเอาชนะความริษยาให้ลูกๆ เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องช่วยพวกเขาให้เรียนรู้ที่จะใส่ใจกับด้านบวก ความคิดตื้นเขินของการเปรียบเทียบ รวมทั้งความโง่เขลาของความอิจฉา เราต้องสอนให้พวกเขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และสำนึกคุณ รวมทั้งยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น

                ความอิจฉาจับกุมลูกๆ ของเราไว้เหมือนเชลย ในฐานะพ่อแม่ เราต้องตระเตรียมพวกเขาให้สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการ และมีประสบการณ์ชีวิตที่เติมเต็มกว่า พวกเราก็ต้องเรียนรู้บทเรียนนี้ด้วยเช่นกัน

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

มีไว้เพื่อใช้ ไม่ใช่เพื่อโชว์


    
           ถ้วยมีไว้ใส่อาหาร แค่เพียงภาชนะรูปครึ่งวงกลมที่ไม่รั่วซึม ผิวเรียบและมีสีเดียว ก็เพียงพอจะทำหน้าที่ของถ้วยคือ “ใส่อาหาร” ทว่าในร้านค้ากลับมีถ้วยหลากสี ลวดลายวิจิตรบรรจง บางใบถึงกับมีสีทองวาววับ สิ่งฟุ่มเฟือยเหล่านี้ เกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์อื่นที่มากไปกว่า “ใส่อาหาร” อาจเพื่อความรื่นรมย์ เพื่อโอ้อวดฝีมือของผู้ผลิต เพื่อแสดงฐานะของเจ้าของถ้วย เพื่อแสดงความเคารพต่อแขก และมีเหตุผลอีกมากมายที่มากไปกว่า “ใส่อาหาร”




(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/302656037454553399/)


            ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทางโลก สำหรับทางธรรม ถ้วยมีไว้เพื่อ “ใส่อาหาร” ซึ่งเป็นหน้าที่อันแท้จริงของถ้วย การไปปฏิบัติภาวนาที่วัด อาศัยอยู่ในห้องขนาดเล็ก มีข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น ทำให้ฉันได้ใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์โดยไม่ได้ตั้งใจ พอออกจากการปฏิบัติภาวนา กลับมาสู่โลกภายนอก ฉันจึงตระหนักว่าตัวเองใช้ข้าวของเพื่อเหตุผลทางโลก ทั้งเพื่อความสุข เพื่อแสดงตัวตน และอื่นๆ

            ข้าวของแบบมินิมอลลิสม์เข้ากับทางธรรมมากกว่าทางโลก เพราะมินิมอลลิสม์คือการตัดทอนเพื่อให้เรียบง่าย ขจัดสิ่งไม่สำคัญออกไปเพื่อใช้เวลาและพลังงานกับสิ่งสำคัญ ข้าวของแบบมินิมอลลิสม์ขนาดแท้ เน้นวัสดุคุณภาพดี เพื่อให้คงทนไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลายในชิ้นเดียว เพื่อไม่ต้องมีข้าวของหลายชิ้น สีสันและรูปทรงมีความเรียบง่าย และถ่อมตน ข้าวของที่สร้างตามแนวคิดแบบมินิมอลลิสม์อย่างแท้จริงไม่มีลักษณะโอ้อวด ทว่านักออกแบบบางคนทำให้สินค้าแบบมินิมอลลิสม์มีราคาแพงอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งกลายเป็นการโอ้อวดจำนวนเงินในกระเป๋าไปในที่สุด

            ถึงกระนั้นฉันก็ขอยืนยันว่าการออกแบบตามแนวคิดแบบมินิมอลลิสม์อย่างจริงใจนั้น คือความเรียบง่าย ถ่อมตน ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ไม่คิดโอ้อวด และชิงดีชิงเด่นกับใคร ข้าวของต่างๆ   “มีไว้เพื่อใช้ ไม่ใช่เพื่อโชว์”

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทำไมการมีของเล่นน้อยลงจึงเป็นประโยชน์ต่อลูกของคุณ


บทความต้นฉบับ Why Fewer Toys Will Benefit Your Kids
เขียนโดย  




             ในขณะที่ห้องนั่งเล่นส่วนใหญ่เต็มไปด้วยของเล่นกองสูงถึงเพดาน พ่อแม่ที่ชาญฉลาดเรียนรู้ที่จะจำกัดจำนวนของเล่นของเด็กๆ

                “ศักยภาพที่อาจเป็นไปได้ของเด็กๆ คือสิ่งที่น่าทึ่งและน่าปีติยินดีมากที่สุดในการสร้างสรรค์ทั้งปวง”  โดย Ray L. Wilber

                ของเล่นไม่ใช่แค่สิ่งที่เอาไว้เล่น ของเล่นเป็นดั่งกรอบวางโครงสร้างอนาคตของเด็กๆ พวกมันสอนเด็กๆ เกี่ยวกับโลกและตัวเขาเอง ของเล่นส่งข้อความและสื่อสารคุณค่า ดังนั้นพ่อแม่ที่ชาญฉลาดจะคำนึงว่าอะไรคือคือรากฐานที่อยู่ในของเล่น ที่พวกเขามอบให้ลูก

                พ่อแม่ที่ชาญฉลาดยังคำนึงถึงจำนวนของเล่นที่เด็กๆ ได้รับ ในขณะที่ห้องเด็กเล่นและห้องนอนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ เต็มไปด้วยของเล่นวางสูงถึงเพดาน พ่อแม่ที่ใส่ใจเรียนรู้ที่จะจำกัดจำนวนของเล่นของลูก

                พวกเขาเข้าใจว่าของเล่นจำนวนน้อย จะเป็นประโยชน์ต่อลูกๆ ในระยะยาว

                1. เด็กๆ เรียนรู้ที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ของเล่นที่มากเกินไปขัดขวางเด็กๆ จากการพัฒนาความสามารถด้านจินตนาการ ชาวเยอรมัน 2 คนผู้ทำงานด้านสาธารณสุข  (Strick และ Schubert) ทำการทดลองโดยโน้มน้าวให้โรงเรียนอนุบาล นำของเล่นออกจากห้องเรียนให้หมดเป็นระยะเวลา 3 เดือน แม้จะมีความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นในระยะแรกของการทดลอง ต่อมาไม่นานเด็กๆ ก็เริ่มใช้สิ่งที่มีอยู่รอบตัวคิดค้นเกมส์ และยังใช้จินตนาการในการเล่น

                2. เด็กๆ พัฒนาสมาธิให้มีระยะเวลานานขึ้น เมื่อของเล่นถูกนำมาให้เด็กๆ มากเกินไป ช่วงเวลาที่สามารถจดจ่อของพวกเขาจะสั้นลง เด็กๆ แทบไม่ได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมของเล่นที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เมื่อมีของเล่นจำนวนนับไม่ถ้วนวางอยู่บนชั้นด้านหลังให้เลือก

                3. เด็กๆ สร้างทักษะทางสังคมได้ดีขึ้น เด็กๆ ที่มีของเล่นน้อยเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธภาพกับเด็กคนอื่นและผู้ใหญ่ พวกเขาพัฒนาทักษะการสนทนา มีงานวิจัยกล่าวว่ามิตรภาพในวัยเด็ก คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการศึกษาและในการเข้าสังคมในวัยผู้ใหญ่

                4. เด็กๆ เรียนรู้การดูแลสิ่งของต่างๆ ได้ดีขึ้น  เมื่อเด็กๆ มีของเล่นมากเกินไป พวกเขาจะไม่ค่อยใส่ใจของเล่น ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ เด็กๆ จะไม่เรียนรู้ที่จะให้คุณค่ากับของเล่น เมื่อมีของเล่นมาทดแทนตลอดเวลา หากคุณมีลูกที่มักทำของเล่นพังเป็นประจำ ให้คุณลองนำของเล่นออกไปให้เหลือน้อย ลูกของคุณจะได้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว

                5. เด็กๆ พัฒนาความรักต่อการอ่าน การเขียน และศิลปะ ของเล่นจำนวนน้อยอนุญาตให้ลูกๆ ของคุณพัฒนาความรักต่อหนังสือ ดนตรี การวาดรูป ระบายสี และความรักต่อศิลปะ จะช่วยให้พวกเขาชื่นชมความงาม อารมณ์ และการติดต่อสื่อสารกับโลก



                6. เด็กๆ จะมีปัญญามากขึ้น ในการศึกษานักเรียนไม่เพียงตอบคำถาม พวกเขายังได้รับเครื่องมือในการหาคำตอบอีกด้วย การละเล่นและสันทนาการ สามารถประยุกต์ใช้หลักการเดียวกันได้ ของเล่นน้อยชิ้นทำให้เด็กๆ ต้องใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ และความเจ้าปัญญาคือศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด

                7. เด็กๆ ทะเลาะกันน้อยลง นี่อาจดูตรงข้ามกับความรู้สึกของเรา พ่อแม่จำนวนมากเชื่อว่าของเล่นจำนวนมากจะช่วยให้เด็กๆ ทะเลาะกันน้อยลง เพราะมีตัวเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งตรงข้ามเกิดขึ้นบ่อยกว่า พี่น้องทะเลาะกันเรื่องของเล่น ทุกครั้งที่เราให้ของเล่นใหม่แก่พวกเขา พวกเราได้มอบสาเหตุในการสร้าง “ขอบเขต” ระหว่างกัน ในทางตรงข้าม พี่น้องที่มีของเล่นจำนวนน้อยถูกบังคับให้ต้องแบ่งปัน และเล่นด้วยกัน

                8. เด็กๆ เรียนรู้ที่จะอดทน เด็กๆ ที่มีของเล่นมากเกินไปยอมแพ้อย่างง่ายดาย เมื่อเล่นของเล่นที่ไม่สามารถพิชิตได้ พวกเขาก็จะละทิ้งมันอย่างรวดเร็วเพื่อไปเล่นอย่างอื่นที่ง่ายกว่า เด็กที่มีของเล่นน้อยกว่า เรียนรู้ที่จะใช้ความอดทน ใจเย็น และใช้ความคิด

                9. เด็กๆ เห็นแก่ตัวน้อยลง เด็กที่ได้ทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ เชื่อว่าพวกเขาสามารถมีทุกสิ่งที่ต้องการ ทัศนคติเช่นนี้จะนำไปสู่วิถีชีวิตที่ไม่ดี

                10. เด็กๆ เข้าถึงธรรมชาติได้มากขึ้น เด็กที่ไม่มีห้องใต้ดินอัดแน่นไปด้วยของเล่น มีแนวโน้มจะออกไปเล่นข้างนอก และพัฒนาความรู้สึกชื่นชมต่อธรรมชาติ พวกเขายังได้เคลื่อนไหวร่างกายมากกว่า ซึ่งผลลัพธ์คือสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและมีความสุข

                11. เด็กเรียนรู้ที่จะพบความพึงพอใจข้างนอกร้านขายของเล่น ความสุขและความพึงพอใจที่แท้ไม่มีทางพบเจอได้บนชั้นวางของเล่นในร้านค้า เด็กๆ ที่ถูกเลี้ยงดูโดยความเชื่อว่า คำตอบของความปรารถนาของพวกเขาสามารถซื้อได้ด้วยเงิน กำลังเชื่อเรื่องโกหกเดียวกันกับพ่อแม่ของเขา แทนที่จะทำเช่นนี้เด็กๆ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนให้ต้านทานวัฒนธรรมกระแสหลัก และค้นพบความสุขในสิ่งที่ยั่งยืนและจริงแท้

                12. เด็กๆ ใช้ชีวิตในบ้านที่สะอาดและเป็นระเบียบ ถ้าคุณมีลูก คุณรู้ว่ากองของเล่นสามารถสร้างความรกรุงรังให้บ้านทั้งหลังได้ ของเล่นจำนวนน้อย ทำให้บ้านรกน้อยลง สะอาดขึ้น สุขภาวะดีขึ้น

                ผมไม่ได้ต่อต้านของเล่น ผมแค่เป็นเด็กมืออาชีพ ดังนั้นขอให้ช่วยเหลือลูกของคุณในทางที่ดีงามเสียตั้งแต่ตอนนี้ ด้วยการจำกัดจำนวนของเล่นของพวกเขา (และอย่าบอกพวกเขาว่าคุณได้แนวคิดนี้มาจากผมล่ะ)

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

10 เคล็ดลับ เพื่อการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

บทความต้นฉบับ 10 TIPS FOR LIVING WITH LESS



ภาพประกอบจาก https://www.thewalletmoth.com/minimalist-lifestyle-tips/


                เมื่อคุณคิดถึงการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ คุณจินตนาการถึงอะไร สำหรับบางคนอาจนึกถึงภาพอันโล่งว่างบน Instagram บ้านสีขาวที่มีข้าวของเพียงเล็กน้อยในแสงธรรมชาติ มีของประดับตกแต่งอันมีรสนิยมวางไว้ในแต่ละห้อง บางคนอาจจินตนาการไปในทางอื่น โดยนึกถึงห้องว่างเปล่า ดูเยียบเย็น ซึ่งมีคนใส่เสื้อยืดแบบเรียบง่ายอาศัยอยู่ ใช้ชีวิตด้วยการทานข้าวและธัญพืช

                ความจริงคือ การใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์สามารถเป็นแบบไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ มันไม่ใช่การใช้ชีวิตด้วยข้าวของน้อยชิ้น ไม่ใช่การปรับปรุงบ้านใหม่ให้เป็นสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง มินิมอลลิสม์คือการเรียนรู้ที่จะชื่นชมสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง และขจัดสิ่งที่ล้นเกินออกไปจากชีวิต

                ถ้าคุณเริ่มต้นมองหาทางสร้างรูปแบบชีวิตให้เป็นมินิมอลลิสม์มากขึ้น หรือเพียงแค่กำลังหาทางทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น นี่คือ 10 ขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณเริ่มเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น

                10 ขั้นตอน เพื่อสร้างการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

                1. รู้เป้าหมายของคุณ
                สำหรับฉัน ก้าวแรกในการสร้างรูปแบบชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ คือการตระหนักว่าทำไมการใช้ชีวิตแบบนี้จึงดึงดูดความสนใจของฉัน (ในกรณีที่คุณสงสัย สำหรับฉันมันคือฝันร้าย ที่ต้องเก็บกวาดบ้านทั้งหลังในเวลาน้อยกว่า 1 สัปดาห์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงให้ฉันทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นไป เพื่อสิ่งที่ดีกว่า)

                เป้าหมายของคุณคืออะไร อยากประหยัดเงิน อยากเดินทางทั่วโลกกับข้าวของที่สามารถบรรจุในรถลากได้ หรืออยากสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกสงบขึ้นในบ้าน การรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณสนใจมินิมอลลิสม์ จะช่วยสร้างขอบเขตในการดำเนินการของคุณ

                2. สร้างพื้นที่อันปราศจากความรกรุงรัง
                จากประสบการณ์ของฉัน การพยายามจัดบ้านทั้งหลังในทีเดียว คือความคิดเลวร้ายที่จะทำให้คุณล้มเหลวในไม่ช้า คุณจะลงเองด้วยการสร้างห้องที่รกกว่าเดิม รู้สึกเครียด และล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด และพบว่ามีข้าวของเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยในบ้าน จนมากกว่าตอนที่เริ่มจัด

                แทนที่จะทำอย่างนั้น ให้ทำความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในพื้นที่โล่งเป็นระเบียบในบางส่วนก่อน ไม่ว่าจะทั้งห้อง หรือแค่บางส่วน เช่นตู้เสื้อผ้า กำหนดเวลาสักหนึ่งวันที่คุณไม่มีแผนงาน แล้วเริ่มขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป
                ฉันชอบแยกของเป็น 3 ประเภท คือ 1. เก็บไว้ 2. บริจาค/ขาย 3. ทิ้งไป ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะเก็บบางอย่างไว้ ขอให้แน่ใจว่าเป็นเพราะคุณใช้มัน หรือต้องการมัน อย่าคิดว่า “ฉันไม่ได้ใช้มันมาเป็นปีแล้ว แต่อาจได้ใช้ในปีหน้า”

                3. กำหนดช่วงเวลาเก็บกวาด
                เมื่อคุณจัดบ้านไปทีละส่วน และเริ่มคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือรักษาบ้านให้พ้นจากความรกรุงรัง มันยากจะเลิกนิสัยที่ทำมาชั่วชีวิต และง่ายที่จะปล่อยให้ความรกรุงรังเพิ่มขึ้นในบ้านอย่างช้าๆ ใน 7 เดือนที่ฉันอาศัยอยู่ที่เดิม แทนที่จะเดินทางตลอดเวลา ตู้เสื้อผ้าของฉันมีเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อรู้ตัว ฉันพบว่าเหลือพื้นที่เล็กน้อยให้ใช้สอย

                การกำหนดช่วงเวลาประจำสำหรับจัดบ้าน จะช่วยให้คุณรักษาปริมาณข้าวของในบ้านให้พอดี คุณอาจทำแค่ปีละครั้งในขณะที่คนอื่นอาจได้ประโยชน์จากการจัดบ้านปีละ 2-4 ครั้ง นำของที่ไม่ต้องการใส่ลงในกล่อง ขาย บริจาค หรือทิ้งไป คือทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณขจัดข้าวของรกรุงรังออกไป ไม่ใช่ย้ายไปไว้ที่อื่นในบ้าน

                4. ตั้งคำถามต่อการซื้อครั้งใหม่
                คุณเคยเพิ่มของบางอย่างลงในตะกร้าสินค้าออนไลน์เพียงเพื่อจะลืมมันไหม จนกระทั่งคราวหน้าคุณล็อคอินเข้าไปในเว็บไซต์ ความเป็นไปได้คือสิ่งที่คุณกดซื้ออย่างรวดเร็วในครั้งแรก ไม่น่าดึงดูดได้ครึ่งหนึ่งเมื่อคุณเห็นมันครั้งที่สอง ฝึกตั้งคำถามต่อการซื้อแต่ละครั้ง การนำสติมาใช้กับการใช้จ่าย คือหนทางอัศจรรย์ในการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น

                5. ลงทุนซื้อของมีคุณภาพมากขึ้น แต่ซื้อปริมาณน้อยลง
                ทุกวันนี้พวกเราล้วนสะดวกสบาย แฟชั่นสำเร็จรูป อาหารจานด่วน หาซื้อทุกอย่างได้จากการกดปุ่ม สิ่งเหล่านี้มีเหมือนกันคือ มันไม่คงทน ในความเห็นของฉัน เป็นการดีกว่าที่จะลงทุนซื้อของที่มีคุณภาพให้มากขึ้น  จ่ายเงินเพิ่ม 20 เหรียญกับเสื้อผ้าซึ่งคุณรู้ว่าจะอยู่ได้นานกว่าการซักแค่ครั้งเดียว แทนที่จะซื้ออาหารปรุงสำเร็จ 1 มื้อ ลงทุนสัก 30 นาที เพื่อทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อยสักมื้อ จากวัตถุดิบจัดชุดสำเร็จ ทั้งยังเหลือเพียงพอให้ทานเป็นมื้อกลางวันอีกสักครั้งสองครั้ง

                6. ฝึกเดินทางอย่างเบาสบาย
                ฉันเรียนรู้ว่าตนเองต้องการข้าวของเพียงเล็กน้อย หลังจากเดินทาง 10 เดือนด้วยข้าวของที่อยู่ในเป้ ฉันไม่สามารถจินตนาการถึงการท่องเที่ยวด้วยกระเป๋าเดินทางหนัก 20 กิโล ในเวลา 2 อาทิตย์ได้อีกต่อไป

                7. สร้างบ้านแบบมินิมอลลิสต์
                อย่างที่ฉันกล่าวไว้ตอนต้นของโพสต์นี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีภาพตัวอย่างของบ้านแบบมินิมอลลิสม์ เพื่อจะใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ การออกแบบบ้านของคุณอย่างเรียบง่าย สะอาดและตกแต่งอย่างปลอดโปร่งในใจ สามารถช่วยคุณรักษานิสัยนั้นไว้ได้จริงๆ ไม่กี่เดือนก่อน ฉันตกแต่งห้องนอนใหม่ด้วยผนังสีขาว ตู้กระจกใบใหญ่ และของประดับตกแต่งเล็กน้อย บรรยากาศแบบมินิมอลลิสม์ที่สะอาดเป็นระเบียบ ทำให้ฉันรู้สึกสงบและมีความสุขในห้องนอน

                8. ทำอาหารให้น้อยลงเพื่อมากขึ้น
                คุณไม่จำเป็นต้องมีวัตถุดิบ 20 ชนิด เพื่อสร้างมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยม อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องมีวัตถุดิบ 10 ชนิดเพื่อทำอาหารให้อร่อย ทำอาหารจากวัตถุดิบที่จัดชุดมาแล้ว คือวิธีประหยัดเงินในการจับจ่ายที่ร้านของของชำ รวมทั้งลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งในแต่ละอาทิตย์ คือก้าวสำคัญในการบ่มเพาะการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์

                9. หางานอดิเรกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
                หากคุณไม่มีอะไรทำในเวลาว่าง คุณมักจบลงด้วยการใช้เงิน ค้นหางานอดิเรกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ทำให้คุณมีความสุขได้ คือหนึ่งในเคล็ดลับที่ฉันสามารถให้คุณ เพื่อสร้างวิถีชีวิตที่เป็นมินิมอลลิสม์มากขึ้น โดยส่วนตัว สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด 2 อย่างคือ ปีนเขากับเล่นโยคะ ฉันใช้เวลามากมายไปกับ 2 สิ่งนี้ จนกระทั่งชีวิตทั้งหมดของฉันหมุนรอบสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นทุกสิ่งที่ฉันทำและซื้อมาจากความชื่นชอบของฉัน ค้นหาสิ่งที่คุณชอบ แล้วคุณจะเลิกใช้จ่ายอย่างขาดสติ

                10. รู้สึกขอบคุณสิ่งที่คุณมี
                ท้ายสุด อย่าลืมให้เวลาขอบคุณสิ่งที่คุณมี ขอบคุณที่มีความหรูหราและสิทธิพิเศษ ซึ่งทำให้คุณตัดสินใจว่าต้องการใช้ชีวิตโดยมีข้าวของน้อยลง ฉันตระหนักถึงสิทธิพิเศษนี้ ทุกครั้งที่ฉันเขียนบทความเหล่านี้ จงขอบคุณข้าวของที่คุณครอบครอง ที่พวกมันช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น ขอบคุณบ้าน ครอบครัว เพื่อน และความสามารถในการสร้างพื้นที่ว่าง ปราศจากความรกรุงรัง ทั้งสภาพแวดล้อมและภายในใจของคุณ การใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์เป็นเรื่องของทัศนคติพอๆ กับที่อยู่อาศัย

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...