เขียนโดย Dori Cameron จาก Beyond Belongings
ตัวอย่างเช่น ฉันสามารถคืนมันได้เสมอ
หรือความเชื่อว่าฉันสามารถขายมันในภายหลังได้ แต่ละความเชื่อกลายเป็นข้ออ้างภายในให้เราซื้อของที่ไม่จำเป็นต้องมี
มันเกิดขึ้นอย่างปุบปับ
กับบทสนทนาภายในเมื่อคุณกำลังตัดสินใจซื้อของออนไลน์หรือในร้านค้า
สำหรับบางคนคือการซื้อหรือซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ สำหรับบางคนคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิค
ไม่ว่าคุณกำลังตัดสินใจซื้อจักรยาน
เครื่องแต่งกาย ของใช้ในครัวเรือน นี่คือ 5 ความเชื่อที่กระตุ้นให้คุณใช้จ่ายมากเกินควร
1.
ความเชื่อที่ว่า “ฉันเอาไปคืนได้เสมอ”
ฉันมีโอกาสนำของไปคืน
เป็นการอ้างเหตุผลที่มักใช้โดยทั่วไปเพื่อซื้อของมากเกินควร ดูเหมือนเป็นความคิดที่ดีหากคุณมีเครื่องย่างอาหารยี่ห้อ
George Foreman ความคิดว่าคุณสามารถส่งคืนร้านค้าถ้าคุณไม่ชอบ
กระตุ้นให้คุณตัดสินใจจ่ายเงิน 30 ดอลล่าห์อย่างง่ายดาย
ทว่าคุณใคร่ครวญถึงเวลาและความพยายามในการคืนสินค้าแล้วหรือยัง
แน่นอนว่าคุณต้องเก็บกล่องบรรจุสินค้า เก็บใบเสร็จ ทำความสะอาดสินค้า
บรรจุลงในกล่องอีกครั้ง เดินทางไปยังร้านเพื่อนำไปคืน เข้าแถวรอด้วยความหวังว่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
แต่ละร้านค้ามีกฎเกณฑ์การคืนสินค้าที่หลากหลาย ต้องคืนภายใน 14 วัน 30 วัน 60 วัน
หรือสินค้าต้องยังไม่ถูกแกะกล่องหรือเปล่า มีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ
เกี่ยวกับการคืนสินค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งอย่างง่ายดาย
คุณอยากใช้เวลาช่วงบ่ายทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเข้าแถวรอที่หน่วยบริการลูกค้าไหม
ถ้าคุณกำลังคิดว่า “ฉันสามารถคืนมันได้เสมอ”
ของชิ้นนั้นคงไม่คู่ควรให้คุณเสียเงินซื้อมาแต่แรก
2.
ความเชื่อที่ว่า “ฉันขายมันในภายหลังได้เสมอ”
เราสามารถใช้แอปขายของออนไลน์อย่าง
ebay และ Craigslist ผ่านสมาร์ทโฟน
ซึ่งทำให้การขายของออนไลน์เป็นเรื่องง่ายมาก แอป “Let go”
ช่วยให้เราถ่ายรูป ตั้งราคา และสร้างชื่อสินค้าจากรูปภาพ
แอปนี้แสดงสินค้าที่ประกาศขายในบริเวณที่คุณอยู่
เสมือนจำรองการขายของเลหลังที่สนามหญ้าขึ้น คุณอาจคิดว่าอุปกรณ์และแอปเหล่านี้
ทำให้คุณขายของออนไลน์อย่างง่ายดาย ทว่าการใช้งานที่สะดวก
ทำให้ปริมาณสินค้าที่ต้องการขายมีมากขึ้นเช่นกัน
ขายของที่ไม่ต้องการต้องใช้เวลา
การวางแผน และความคิด
คุณต้องอ่านข้อความจากคนที่สนใจซื้อสินค้าของคุณจำนวนมากเท่าไร
ต้องแบ่งเวลาเพื่อพบเจอคนที่ต้องการซื้อมากเท่าไร
เพียงเพื่อไม่ได้รับเงินมากเท่าที่คุณคาดหวัง
แน่นอนว่ามีบางคนประสบความสำเร็จกับธุรกิจค้าขายสินค้ามือสอง
แต่สำหรับคนอื่นมันกลายเป็นเรื่องเปลืองเวลา การขาย ipad nano ในราคา 25 ดอลล่าห์
คุ้มกับเวลาและพลังงานที่คุณต้องใช้ในการขายหรือไม่ มีอย่างอื่นที่คุณอยากใช้เวลาไปทำแทนไหม
เมื่อตัดสินใจซื้อของ
ให้มองว่ามันไม่มีราคาเมื่อขายมือสอง การพูดกับตัวเองว่า
“ฉันสามารถขายมันในภายหลังได้เสมอ” คือการคาดว่าจะมีคนซื้อของ ในเวลาที่คุณอยากขาย
ซึ่งตัวแปรต่างๆ ไม่อาจรับประกันได้
3.
ความเชื่อที่ว่า “ฉันสามารถให้มันไปได้เสมอถ้าไม่ต้องการ”
ถ้าการขายเสื้อผ้าออนไลน์โดยใช้แอป
Poshmark ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ คุณสามารถให้คนอื่นได้ไหม
แน่นอนว่ามีเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนบ้าน
หรือร้านขายของมือสอง ที่จะได้ประโยชน์จากเสื้อสูทที่คับไป
ซึ่งคุณซื้อมาเพราะมันลดราคา ด้วยการให้คุณค่ากับเสื้อของคุณ คุณคาดว่าจะมีผู้รับด้วยความรู้สึกขอบคุณ
รอคอย หรือพร้อมรับการบริจาคของจากคุณ ในอเมริกา “แฟชั่นสำเร็จรูป”
กำลังผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากจนล้นตลาด ทั้งขายปลีกและร้านมือสอง เช่นเดียวกับการฝังกลบขยะที่เพิ่มขึ้น
การช่วยเหลือผู้อื่นหรือชุมชนของคุณ
เป็นหนทางที่ดีกว่าทิ้งสินค้าใช้แล้วที่ร้านมือสองหรือไม่
ใช้สติอย่างรอบคอบกับบทสนทนาภายในใจ เมื่อคุณซื้อของออนไลน์หรือซื้อกับคนขาย
คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเหลือเงินและเวลาไปใช้กับอย่างอื่นที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มกว่า
4.
ความเชื่อว่า “มันสามารถปรับปรุงแก้ไขได้เสมอ”
ฉันยอมรับว่าตัวเองเคยซื้อโต๊ะเลขา
หรือโต๊ะกาแฟ โดยที่มันต้องมีชื่อขึ้นต้นด้วย TLC กำกับ ในความคิดของฉัน ฉันมองของชิ้นนั้นว่าสามารถปรับปรุงแก้ไขได้เต็มร้อย
ทว่าต้องใช้เงินในการซื้อวัตถุดิบ ขัดสี ลบรอยเปื้อน และทำให้เสร็จสมบูรณ์
มันต้องใช้เงินเท่าไรในการซ่อมแซม ฉันต้องใช้เวลาเท่าไรในการซ่อมแซม
มีบางคนที่พบความสุขอย่างมากในการซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์
เครื่องประดับหรือรถยนต์ ทว่าคนทั่วไปอาจไม่มีแรงจูงใจ อุปกรณ์
และทักษะที่จะปรับปรุงซ่อมแซมสิ่งของ ถ้าคุณกำลังคิดว่า “ฉันสามารถซ่อมแซมเครื่องจักรนั้นได้”
หรือ “ฉันสามารถปรับปรุงตู้ไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุครึ่งศตวรรษให้มีสภาพเหมือนใหม่”
ให้พิจารณาเวลาและวัสดุที่ต้องใช้ก่อนจะซื้อมัน
คุณอาจตระหนักว่าคุณสามารถใช้เวลาและเงินไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่า
5.
ความเชื่อที่ว่า “ฉันสามารถเก็บมันไว้ในห้องเก็บของได้เสมอจนกว่าจะต้องการมัน”
โกดังเก็บของในบ้านและนอกบ้าน
เป็นเรื่องธรรมดามากในอเมริกา ถ้าคุณไปที่ห้องใต้ดิน ห้องใต้หลังคา
หรือโรงรถของใครสักคน คุณจะได้เจอของใช้ตามฤดูกาลหรือของที่นานๆ ใช้ที
เมื่อกำลังซื้อของที่นานๆ จะได้ใช้ที ซึ่งต้องเก็บให้พ้นสายตาเมื่อไม่ใช้
ให้คิดถึงทางเลือกอื่น คุณจำเป็นต้องมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเองไหม
หากคุณสามารถเช่าแทนได้ ให้พิจารณาว่าความชื้นของห้องใต้ดิน
กับความร้อนของห้องใต้หลังคา ส่งผลกระทบต่อข้าวของของคุณไหม
เมื่อตัดสินใจเก็บหรือทิ้งสิ่งของ
ฉันชอบใช้ “ความสุข” ในการตัดสินใจ
มีใครบางคนที่จะได้รับความสุขกว่าจากรถจักรยานยนต์ที่คุณไม่ขับ
หรือกับของเล่นที่คุณอยากบริจาคออกไปจากห้องเก็บของไหม เมื่อคุณกำลังซื้อของ
ถามตัวเองว่าบริเวณไหนของบ้านที่จะเก็บของชิ้นนั้นเป็นปีจากนี้
ถ้าคุณจินตนาการภาพของที่คุณซื้อฝุ่นจับอยู่ในโรงรถ การไม่ซื้อมันอาจจะดีเสียกว่า
ความเชื่อทั้ง
5 ข้อนี้ มักเกิดขึ้นเมื่อเราหาเหตุผลในการใช้จ่าย
เราสามารถพบความสุขในสิ่งของที่เราซื้อหาได้ เป้าหมายของมินิมอลลิสม์คือการฝึกฝนใช้สติอย่างรอบคอบในการตัดสินใจซื้อของ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น