วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

10 เคล็ดลับ เพื่อการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

บทความต้นฉบับ 10 TIPS FOR LIVING WITH LESS



ภาพประกอบจาก https://www.thewalletmoth.com/minimalist-lifestyle-tips/


                เมื่อคุณคิดถึงการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ คุณจินตนาการถึงอะไร สำหรับบางคนอาจนึกถึงภาพอันโล่งว่างบน Instagram บ้านสีขาวที่มีข้าวของเพียงเล็กน้อยในแสงธรรมชาติ มีของประดับตกแต่งอันมีรสนิยมวางไว้ในแต่ละห้อง บางคนอาจจินตนาการไปในทางอื่น โดยนึกถึงห้องว่างเปล่า ดูเยียบเย็น ซึ่งมีคนใส่เสื้อยืดแบบเรียบง่ายอาศัยอยู่ ใช้ชีวิตด้วยการทานข้าวและธัญพืช

                ความจริงคือ การใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์สามารถเป็นแบบไหนก็ได้ตามที่คุณต้องการ มันไม่ใช่การใช้ชีวิตด้วยข้าวของน้อยชิ้น ไม่ใช่การปรับปรุงบ้านใหม่ให้เป็นสไตล์ใดสไตล์หนึ่ง มินิมอลลิสม์คือการเรียนรู้ที่จะชื่นชมสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง และขจัดสิ่งที่ล้นเกินออกไปจากชีวิต

                ถ้าคุณเริ่มต้นมองหาทางสร้างรูปแบบชีวิตให้เป็นมินิมอลลิสม์มากขึ้น หรือเพียงแค่กำลังหาทางทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น นี่คือ 10 ขั้นตอนที่จะช่วยให้คุณเริ่มเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น

                10 ขั้นตอน เพื่อสร้างการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

                1. รู้เป้าหมายของคุณ
                สำหรับฉัน ก้าวแรกในการสร้างรูปแบบชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ คือการตระหนักว่าทำไมการใช้ชีวิตแบบนี้จึงดึงดูดความสนใจของฉัน (ในกรณีที่คุณสงสัย สำหรับฉันมันคือฝันร้าย ที่ต้องเก็บกวาดบ้านทั้งหลังในเวลาน้อยกว่า 1 สัปดาห์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงให้ฉันทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นไป เพื่อสิ่งที่ดีกว่า)

                เป้าหมายของคุณคืออะไร อยากประหยัดเงิน อยากเดินทางทั่วโลกกับข้าวของที่สามารถบรรจุในรถลากได้ หรืออยากสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความรู้สึกสงบขึ้นในบ้าน การรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณสนใจมินิมอลลิสม์ จะช่วยสร้างขอบเขตในการดำเนินการของคุณ

                2. สร้างพื้นที่อันปราศจากความรกรุงรัง
                จากประสบการณ์ของฉัน การพยายามจัดบ้านทั้งหลังในทีเดียว คือความคิดเลวร้ายที่จะทำให้คุณล้มเหลวในไม่ช้า คุณจะลงเองด้วยการสร้างห้องที่รกกว่าเดิม รู้สึกเครียด และล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด และพบว่ามีข้าวของเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยในบ้าน จนมากกว่าตอนที่เริ่มจัด

                แทนที่จะทำอย่างนั้น ให้ทำความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในพื้นที่โล่งเป็นระเบียบในบางส่วนก่อน ไม่ว่าจะทั้งห้อง หรือแค่บางส่วน เช่นตู้เสื้อผ้า กำหนดเวลาสักหนึ่งวันที่คุณไม่มีแผนงาน แล้วเริ่มขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป
                ฉันชอบแยกของเป็น 3 ประเภท คือ 1. เก็บไว้ 2. บริจาค/ขาย 3. ทิ้งไป ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะเก็บบางอย่างไว้ ขอให้แน่ใจว่าเป็นเพราะคุณใช้มัน หรือต้องการมัน อย่าคิดว่า “ฉันไม่ได้ใช้มันมาเป็นปีแล้ว แต่อาจได้ใช้ในปีหน้า”

                3. กำหนดช่วงเวลาเก็บกวาด
                เมื่อคุณจัดบ้านไปทีละส่วน และเริ่มคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือรักษาบ้านให้พ้นจากความรกรุงรัง มันยากจะเลิกนิสัยที่ทำมาชั่วชีวิต และง่ายที่จะปล่อยให้ความรกรุงรังเพิ่มขึ้นในบ้านอย่างช้าๆ ใน 7 เดือนที่ฉันอาศัยอยู่ที่เดิม แทนที่จะเดินทางตลอดเวลา ตู้เสื้อผ้าของฉันมีเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อรู้ตัว ฉันพบว่าเหลือพื้นที่เล็กน้อยให้ใช้สอย

                การกำหนดช่วงเวลาประจำสำหรับจัดบ้าน จะช่วยให้คุณรักษาปริมาณข้าวของในบ้านให้พอดี คุณอาจทำแค่ปีละครั้งในขณะที่คนอื่นอาจได้ประโยชน์จากการจัดบ้านปีละ 2-4 ครั้ง นำของที่ไม่ต้องการใส่ลงในกล่อง ขาย บริจาค หรือทิ้งไป คือทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณขจัดข้าวของรกรุงรังออกไป ไม่ใช่ย้ายไปไว้ที่อื่นในบ้าน

                4. ตั้งคำถามต่อการซื้อครั้งใหม่
                คุณเคยเพิ่มของบางอย่างลงในตะกร้าสินค้าออนไลน์เพียงเพื่อจะลืมมันไหม จนกระทั่งคราวหน้าคุณล็อคอินเข้าไปในเว็บไซต์ ความเป็นไปได้คือสิ่งที่คุณกดซื้ออย่างรวดเร็วในครั้งแรก ไม่น่าดึงดูดได้ครึ่งหนึ่งเมื่อคุณเห็นมันครั้งที่สอง ฝึกตั้งคำถามต่อการซื้อแต่ละครั้ง การนำสติมาใช้กับการใช้จ่าย คือหนทางอัศจรรย์ในการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์มากขึ้น

                5. ลงทุนซื้อของมีคุณภาพมากขึ้น แต่ซื้อปริมาณน้อยลง
                ทุกวันนี้พวกเราล้วนสะดวกสบาย แฟชั่นสำเร็จรูป อาหารจานด่วน หาซื้อทุกอย่างได้จากการกดปุ่ม สิ่งเหล่านี้มีเหมือนกันคือ มันไม่คงทน ในความเห็นของฉัน เป็นการดีกว่าที่จะลงทุนซื้อของที่มีคุณภาพให้มากขึ้น  จ่ายเงินเพิ่ม 20 เหรียญกับเสื้อผ้าซึ่งคุณรู้ว่าจะอยู่ได้นานกว่าการซักแค่ครั้งเดียว แทนที่จะซื้ออาหารปรุงสำเร็จ 1 มื้อ ลงทุนสัก 30 นาที เพื่อทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อยสักมื้อ จากวัตถุดิบจัดชุดสำเร็จ ทั้งยังเหลือเพียงพอให้ทานเป็นมื้อกลางวันอีกสักครั้งสองครั้ง

                6. ฝึกเดินทางอย่างเบาสบาย
                ฉันเรียนรู้ว่าตนเองต้องการข้าวของเพียงเล็กน้อย หลังจากเดินทาง 10 เดือนด้วยข้าวของที่อยู่ในเป้ ฉันไม่สามารถจินตนาการถึงการท่องเที่ยวด้วยกระเป๋าเดินทางหนัก 20 กิโล ในเวลา 2 อาทิตย์ได้อีกต่อไป

                7. สร้างบ้านแบบมินิมอลลิสต์
                อย่างที่ฉันกล่าวไว้ตอนต้นของโพสต์นี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีภาพตัวอย่างของบ้านแบบมินิมอลลิสม์ เพื่อจะใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ การออกแบบบ้านของคุณอย่างเรียบง่าย สะอาดและตกแต่งอย่างปลอดโปร่งในใจ สามารถช่วยคุณรักษานิสัยนั้นไว้ได้จริงๆ ไม่กี่เดือนก่อน ฉันตกแต่งห้องนอนใหม่ด้วยผนังสีขาว ตู้กระจกใบใหญ่ และของประดับตกแต่งเล็กน้อย บรรยากาศแบบมินิมอลลิสม์ที่สะอาดเป็นระเบียบ ทำให้ฉันรู้สึกสงบและมีความสุขในห้องนอน

                8. ทำอาหารให้น้อยลงเพื่อมากขึ้น
                คุณไม่จำเป็นต้องมีวัตถุดิบ 20 ชนิด เพื่อสร้างมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยม อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องมีวัตถุดิบ 10 ชนิดเพื่อทำอาหารให้อร่อย ทำอาหารจากวัตถุดิบที่จัดชุดมาแล้ว คือวิธีประหยัดเงินในการจับจ่ายที่ร้านของของชำ รวมทั้งลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งในแต่ละอาทิตย์ คือก้าวสำคัญในการบ่มเพาะการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์

                9. หางานอดิเรกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
                หากคุณไม่มีอะไรทำในเวลาว่าง คุณมักจบลงด้วยการใช้เงิน ค้นหางานอดิเรกที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ทำให้คุณมีความสุขได้ คือหนึ่งในเคล็ดลับที่ฉันสามารถให้คุณ เพื่อสร้างวิถีชีวิตที่เป็นมินิมอลลิสม์มากขึ้น โดยส่วนตัว สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด 2 อย่างคือ ปีนเขากับเล่นโยคะ ฉันใช้เวลามากมายไปกับ 2 สิ่งนี้ จนกระทั่งชีวิตทั้งหมดของฉันหมุนรอบสิ่งเหล่านี้  ดังนั้นทุกสิ่งที่ฉันทำและซื้อมาจากความชื่นชอบของฉัน ค้นหาสิ่งที่คุณชอบ แล้วคุณจะเลิกใช้จ่ายอย่างขาดสติ

                10. รู้สึกขอบคุณสิ่งที่คุณมี
                ท้ายสุด อย่าลืมให้เวลาขอบคุณสิ่งที่คุณมี ขอบคุณที่มีความหรูหราและสิทธิพิเศษ ซึ่งทำให้คุณตัดสินใจว่าต้องการใช้ชีวิตโดยมีข้าวของน้อยลง ฉันตระหนักถึงสิทธิพิเศษนี้ ทุกครั้งที่ฉันเขียนบทความเหล่านี้ จงขอบคุณข้าวของที่คุณครอบครอง ที่พวกมันช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น ขอบคุณบ้าน ครอบครัว เพื่อน และความสามารถในการสร้างพื้นที่ว่าง ปราศจากความรกรุงรัง ทั้งสภาพแวดล้อมและภายในใจของคุณ การใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์เป็นเรื่องของทัศนคติพอๆ กับที่อยู่อาศัย

5 ความเชื่อที่กระตุ้นให้ใช้จ่ายมากขึ้น

บทความต้นฉบับ 5 Myths That Encourage Excess Spending

เขียนโดย Dori Cameron จาก Beyond Belongings




                ตัวอย่างเช่น ฉันสามารถคืนมันได้เสมอ หรือความเชื่อว่าฉันสามารถขายมันในภายหลังได้ แต่ละความเชื่อกลายเป็นข้ออ้างภายในให้เราซื้อของที่ไม่จำเป็นต้องมี

                มันเกิดขึ้นอย่างปุบปับ กับบทสนทนาภายในเมื่อคุณกำลังตัดสินใจซื้อของออนไลน์หรือในร้านค้า สำหรับบางคนคือการซื้อหรือซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ สำหรับบางคนคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิค

                ไม่ว่าคุณกำลังตัดสินใจซื้อจักรยาน เครื่องแต่งกาย ของใช้ในครัวเรือน นี่คือ 5 ความเชื่อที่กระตุ้นให้คุณใช้จ่ายมากเกินควร

                1. ความเชื่อที่ว่า “ฉันเอาไปคืนได้เสมอ”
                ฉันมีโอกาสนำของไปคืน เป็นการอ้างเหตุผลที่มักใช้โดยทั่วไปเพื่อซื้อของมากเกินควร ดูเหมือนเป็นความคิดที่ดีหากคุณมีเครื่องย่างอาหารยี่ห้อ George Foreman ความคิดว่าคุณสามารถส่งคืนร้านค้าถ้าคุณไม่ชอบ กระตุ้นให้คุณตัดสินใจจ่ายเงิน 30 ดอลล่าห์อย่างง่ายดาย

                ทว่าคุณใคร่ครวญถึงเวลาและความพยายามในการคืนสินค้าแล้วหรือยัง แน่นอนว่าคุณต้องเก็บกล่องบรรจุสินค้า เก็บใบเสร็จ ทำความสะอาดสินค้า บรรจุลงในกล่องอีกครั้ง เดินทางไปยังร้านเพื่อนำไปคืน เข้าแถวรอด้วยความหวังว่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน แต่ละร้านค้ามีกฎเกณฑ์การคืนสินค้าที่หลากหลาย ต้องคืนภายใน 14 วัน 30 วัน 60 วัน หรือสินค้าต้องยังไม่ถูกแกะกล่องหรือเปล่า มีความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการคืนสินค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งอย่างง่ายดาย

                คุณอยากใช้เวลาช่วงบ่ายทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การเข้าแถวรอที่หน่วยบริการลูกค้าไหม ถ้าคุณกำลังคิดว่า “ฉันสามารถคืนมันได้เสมอ” ของชิ้นนั้นคงไม่คู่ควรให้คุณเสียเงินซื้อมาแต่แรก

                2. ความเชื่อที่ว่า “ฉันขายมันในภายหลังได้เสมอ”
                เราสามารถใช้แอปขายของออนไลน์อย่าง ebay และ Craigslist ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งทำให้การขายของออนไลน์เป็นเรื่องง่ายมาก แอป “Let go” ช่วยให้เราถ่ายรูป ตั้งราคา และสร้างชื่อสินค้าจากรูปภาพ แอปนี้แสดงสินค้าที่ประกาศขายในบริเวณที่คุณอยู่  เสมือนจำรองการขายของเลหลังที่สนามหญ้าขึ้น คุณอาจคิดว่าอุปกรณ์และแอปเหล่านี้ ทำให้คุณขายของออนไลน์อย่างง่ายดาย ทว่าการใช้งานที่สะดวก ทำให้ปริมาณสินค้าที่ต้องการขายมีมากขึ้นเช่นกัน

                ขายของที่ไม่ต้องการต้องใช้เวลา การวางแผน และความคิด คุณต้องอ่านข้อความจากคนที่สนใจซื้อสินค้าของคุณจำนวนมากเท่าไร ต้องแบ่งเวลาเพื่อพบเจอคนที่ต้องการซื้อมากเท่าไร เพียงเพื่อไม่ได้รับเงินมากเท่าที่คุณคาดหวัง

                แน่นอนว่ามีบางคนประสบความสำเร็จกับธุรกิจค้าขายสินค้ามือสอง แต่สำหรับคนอื่นมันกลายเป็นเรื่องเปลืองเวลา การขาย ipad nano ในราคา 25 ดอลล่าห์ คุ้มกับเวลาและพลังงานที่คุณต้องใช้ในการขายหรือไม่ มีอย่างอื่นที่คุณอยากใช้เวลาไปทำแทนไหม

                เมื่อตัดสินใจซื้อของ ให้มองว่ามันไม่มีราคาเมื่อขายมือสอง การพูดกับตัวเองว่า “ฉันสามารถขายมันในภายหลังได้เสมอ” คือการคาดว่าจะมีคนซื้อของ ในเวลาที่คุณอยากขาย ซึ่งตัวแปรต่างๆ ไม่อาจรับประกันได้

                3. ความเชื่อที่ว่า “ฉันสามารถให้มันไปได้เสมอถ้าไม่ต้องการ”
                ถ้าการขายเสื้อผ้าออนไลน์โดยใช้แอป Poshmark ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ คุณสามารถให้คนอื่นได้ไหม แน่นอนว่ามีเพื่อนร่วมห้อง  เพื่อนบ้าน หรือร้านขายของมือสอง ที่จะได้ประโยชน์จากเสื้อสูทที่คับไป ซึ่งคุณซื้อมาเพราะมันลดราคา ด้วยการให้คุณค่ากับเสื้อของคุณ คุณคาดว่าจะมีผู้รับด้วยความรู้สึกขอบคุณ รอคอย หรือพร้อมรับการบริจาคของจากคุณ ในอเมริกา “แฟชั่นสำเร็จรูป” กำลังผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากจนล้นตลาด ทั้งขายปลีกและร้านมือสอง เช่นเดียวกับการฝังกลบขยะที่เพิ่มขึ้น

                การช่วยเหลือผู้อื่นหรือชุมชนของคุณ เป็นหนทางที่ดีกว่าทิ้งสินค้าใช้แล้วที่ร้านมือสองหรือไม่ ใช้สติอย่างรอบคอบกับบทสนทนาภายในใจ เมื่อคุณซื้อของออนไลน์หรือซื้อกับคนขาย คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเหลือเงินและเวลาไปใช้กับอย่างอื่นที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มกว่า

                4. ความเชื่อว่า “มันสามารถปรับปรุงแก้ไขได้เสมอ”
                ฉันยอมรับว่าตัวเองเคยซื้อโต๊ะเลขา หรือโต๊ะกาแฟ โดยที่มันต้องมีชื่อขึ้นต้นด้วย TLC กำกับ ในความคิดของฉัน ฉันมองของชิ้นนั้นว่าสามารถปรับปรุงแก้ไขได้เต็มร้อย ทว่าต้องใช้เงินในการซื้อวัตถุดิบ ขัดสี ลบรอยเปื้อน และทำให้เสร็จสมบูรณ์ มันต้องใช้เงินเท่าไรในการซ่อมแซม ฉันต้องใช้เวลาเท่าไรในการซ่อมแซม

                มีบางคนที่พบความสุขอย่างมากในการซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับหรือรถยนต์ ทว่าคนทั่วไปอาจไม่มีแรงจูงใจ อุปกรณ์ และทักษะที่จะปรับปรุงซ่อมแซมสิ่งของ ถ้าคุณกำลังคิดว่า “ฉันสามารถซ่อมแซมเครื่องจักรนั้นได้” หรือ “ฉันสามารถปรับปรุงตู้ไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุครึ่งศตวรรษให้มีสภาพเหมือนใหม่” ให้พิจารณาเวลาและวัสดุที่ต้องใช้ก่อนจะซื้อมัน คุณอาจตระหนักว่าคุณสามารถใช้เวลาและเงินไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่า

                5. ความเชื่อที่ว่า “ฉันสามารถเก็บมันไว้ในห้องเก็บของได้เสมอจนกว่าจะต้องการมัน”
                โกดังเก็บของในบ้านและนอกบ้าน เป็นเรื่องธรรมดามากในอเมริกา ถ้าคุณไปที่ห้องใต้ดิน ห้องใต้หลังคา หรือโรงรถของใครสักคน คุณจะได้เจอของใช้ตามฤดูกาลหรือของที่นานๆ ใช้ที เมื่อกำลังซื้อของที่นานๆ จะได้ใช้ที ซึ่งต้องเก็บให้พ้นสายตาเมื่อไม่ใช้ ให้คิดถึงทางเลือกอื่น คุณจำเป็นต้องมีรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเองไหม หากคุณสามารถเช่าแทนได้ ให้พิจารณาว่าความชื้นของห้องใต้ดิน กับความร้อนของห้องใต้หลังคา ส่งผลกระทบต่อข้าวของของคุณไหม

                เมื่อตัดสินใจเก็บหรือทิ้งสิ่งของ ฉันชอบใช้ “ความสุข” ในการตัดสินใจ มีใครบางคนที่จะได้รับความสุขกว่าจากรถจักรยานยนต์ที่คุณไม่ขับ หรือกับของเล่นที่คุณอยากบริจาคออกไปจากห้องเก็บของไหม เมื่อคุณกำลังซื้อของ ถามตัวเองว่าบริเวณไหนของบ้านที่จะเก็บของชิ้นนั้นเป็นปีจากนี้ ถ้าคุณจินตนาการภาพของที่คุณซื้อฝุ่นจับอยู่ในโรงรถ การไม่ซื้อมันอาจจะดีเสียกว่า

                ความเชื่อทั้ง 5 ข้อนี้ มักเกิดขึ้นเมื่อเราหาเหตุผลในการใช้จ่าย เราสามารถพบความสุขในสิ่งของที่เราซื้อหาได้ เป้าหมายของมินิมอลลิสม์คือการฝึกฝนใช้สติอย่างรอบคอบในการตัดสินใจซื้อของ

บ่นน้อยลงได้อย่างไร

บทความต้นฉบับ How to Complain Less
           
เขียนโดย  ·





(ภาพประกอบจาก https://www.becomingminimalist.com/complain-less)

                การบ่นน้อยลงมีประโยชน์มากมาย แล้วเราจะเริ่มบ่นน้อยลงได้อย่างไร อย่างแรกยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา และลองนำขั้นตอนต่อไปนี้ไปใช้


                “คุณจะบ่นเพราะดอกกุหาบมีหนาม หรือจะยินดีที่หนามมีดอกกุหลาบ”

                โดย Tom Wilson

                ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยเป็นและจะไม่มีวันเป็น นี่ไม่ใช่ข่าวร้าย อันที่จริงเมื่อเรายอมรับความจริงอันนี้ เราได้เปิดรับความเป็นไปได้มหาศาล ชีวิตไม่มีทางสมบูรณ์แบบ เราต่างรู้ว่านี่คือความจริง

                แล้วทำไมเราจึงเอาแต่บ่นถึงความไม่สมบูรณ์นั้น

                เราบ่นเกี่ยวกับอากาศ การจราจร และวัชพืชในสวน บ่นถึงเสื้อผ้าที่คับไป กุญแจที่วางผิดที่ รวมถึงราคาน้ำมัน เราบ่นเรื่องงานหรือเรื่องที่เราตกงาน บ่นเรื่องเพื่อนบ้านจอมสอดรู้สอดเห็น ทารกที่กำลังร้องไห้ วัยรุ่นที่ไร้สัมมาคารวะ และคู่ครองที่แสนขี้เกียจ สังคมของพวกเราเป็นประเภทบ่นเร็วเกินไป

                การบ่นแทบไม่เคยสร้างผลกระทบทางบวกต่อสถานการณ์ แน่นอนว่าบางเวลาการเตือนบางคนเกี่ยวกับความอยุติธรรมเป็นเรื่องถูกต้องและสมควรทำ ทว่าส่วนใหญ่ เราแสดงความรู้สึกเจ็บปวด ไม่พอใจ คับข้องใจ เพียงเพราะมันคือการตอบสนองตามธรรมชาติของเรา

                ทว่าการตอบสนองเหล่านี้สมควรถูกทบทวนใหม่ เพราะมันแทบไม่ก่อให้เกิดสุขภาวะที่ดี มีผลลัพธ์ทางลบมากมายจากการตอบโต้แบบนี้ การบ่นกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาในทางลบ การบ่นไม่เคยให้ผลลัพธ์เป็นความสุข มีแต่ทำให้เราจมลงในความทุกข์

                การบ่นส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบตัวเรา การบ่นแพร่กระจายพลังงานลบ โดยการจดจ่อและดึงความสนใจไปสู่ปัญหาและความยากลำบากรอบตัว ทั้งเรายังนำพาคนอื่นไปสู่ทิศทางนั้นด้วยเช่นกัน ความทุกข์ชอบการมีส่วนร่วม

                การบ่นลดทอนคุณค่าของความยากลำบากในชีวิตของเรา ความยากลำบากทั้งกายและใจสามารถมีประโยชน์อันลึกซึ้งต่อชีวิตของเราได้ มีบทเรียนมากมายที่สามารถเรียนรู้ผ่านการยอมรับความยากลำบากเท่านั้น ความอดทน ความมานะพยายาม กลายเป็นการยอมรับความยากลำบาก คุณจะดีใจที่ทำมัน

                ช่างไร้เสน่ห์อย่างยิ่ง และไร้ความสุขเมื่อต้องใช้เวลากับผู้คนที่สนใจแต่แง่ลบ ไม่เพียงไร้เสน่ห์ คนที่ชอบบ่นโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยังสร้างความรำคาญอีกด้วย การบ่นทำให้เราตกอยู่ในฐานะเหยื่อ อุปสรรคที่คงทนที่สุดในการเปลี่ยนแปลงคือการบ่น การบ่นแทบทุกอย่างมีรากฐานมาจากการโทษสิ่งอื่นหรือผู้อื่น

                ในทางตรงข้าม การบ่นน้อยลงมีประโยชน์มหาศาล มันเปลี่ยนความสนใจไปยังด้านบวก มันปล่อยให้ความรู้สึกขอบคุณได้หยั่งราก และความสนุกสนานรื่นเริงนั้นสวยงามกว่ามาก

                แล้วเราจะเลิกนิสัยชอบบ่นได้อย่างไร อย่างแรก ยอมรับว่าการเปลี่ยนวิถีชีวิตต้องใช้เวลา จากนั้นลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

                1. ใคร่ครวญถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง พวกเราหลายคนบ่นเพราะไม่เคยพิจารณาทางเลือกอื่น พวกเราไม่เคยตระหนักถึงผลกระทบในทางลบของมัน ทั้งต่อตนเองและต่อคนรอบข้าง เราไม่เคยพิจารณาทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แต่เมื่อมีทางให้เลือก พวกเราชอบจะได้รับพลังและชีวิตชีวา มากกว่าการเสียพลังไปเพราะคำพูด ความยากลำบากไม่ควรทำให้เราแปลกใจ จงตัดสินใจเลือกซะ

                2. ยอมรับว่าโลกนี้ไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตจะไม่เป็นไปตามที่เราชอบหรือต้องการในทุกทางเลือก มันจะมีความยุ่งยากและความเจ็บปวดเสมอ ในไม่ช้าเราจะเลิกยืนกรานให้โลกหมุนรอบตัวเรา ในไม่ช้าเราจะยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า การอุทิศตนของเราเป็นสิ่งจำเป็นกว่าความรีบเร่ง ความยากลำบากไม่ควรทำให้เราแปลกใจ และเราไม่ใช่คนเดียวที่ประสบกับสถานการณ์เหล่านี้

                3. เข้าใจความแตกต่างระหว่างการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์กับการบ่น มีบางครั้งที่เหมาะสมจะวิจารณ์สิ่งผิด สิ่งนี้มีประโยชน์และไม่ควรหมดกำลังใจ พิจารณาว่าสถานการณ์สามารถแก้ไขได้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็เป็นโอกาสดีที่ได้รู้ว่าการบ่นของเราไม่ได้มีความใส่ใจอย่างแท้จริงในการแก้ปัญหา หรือมีผลต่อความสัมพันธ์กับผู้คน ในกรณีนี้เราควรหลีกเลี่ยงการบ่น

                4. พิจารณาผู้ฟังของคุณให้ดี คุณกำลังพูดกับใครบางคนที่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหา หรือสนใจการแก้ปัญหาอย่างจริงจังไหม ถ้าไม่ จงพูดแค่คร่าวๆ หากต้องพูดต่อ ให้เกริ่นนำการบ่นของคุณก่อน ด้วยถ้อยคำที่ลดระดับความรุนแรงลง ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นด้วย “ฉันขอระบายอารมณ์สัก 2-3 นาทีได้ไหม” บางทีทั้งหมดที่คุณต้องการคือ แนะนำตัวเองและวัตถุประสงค์ที่คุณต้องการต่อผู้ฟัง และคอยเตือนตัวเองให้พูดอย่างกระชับ

                5. หลีกเลี่ยงการเริ่มบทสนทนาด้วยการบ่น ตระหนักว่าเราเริ่มบทสนทนาด้วยการบ่นบ่อยแค่ไหน บ่อยครั้งที่กลยุทธ์นี้ถูกใช้ในระดับจิตใต้สำนึก เพราะมันช่วยดึงการตอบสนองได้มากขึ้น นำวิธีนี้ออกจากคลังแสงของคุณ  และพยายามเริ่มบทสนทนาด้วยความร่าเริงแทน

                6. ปฏิเสธการบ่นเพื่อยืนยันตัวตน บางครั้งการบ่นเป็นการทำไปเพื่อทำให้คนอื่นเห็นความสำคัญของเรา “ฉันยุ่งมากเลย” เป็นตัวอย่าง เรามักใช้การพูดแบบนี้เป็นเครื่องมือทางอ้อมเพื่อสื่อว่าตนเองมีความสำคัญ อย่าพยายามทำให้คนอื่นประทับใจในตัวเราด้วยการบ่น กลยุทธ์นี้จะไม่ทำให้คุณได้เพื่อนในระยะยาว

                7. ตระหนักถึงเล่ห์กล มีช่วงเวลาใดในหนึ่งวันที่คุณบ่นมากกว่าช่วงอื่นหรือเปล่า รุ่งเช้า ตอนค่ำ หรือบ่ายแก่ เมื่อคู่ของคุณอยู่บ้าน เมื่อคุณดื่มกาแฟหรือทานอาหารกับเพื่อน อาจเป็นตอนอยู่รอบตู้กดน้ำกับเพื่อนร่วมงาน จงรู้ตัวและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นหากทำได้ หากเลี่ยงไม่ได้ ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเห็นการพร่ำบ่นเริ่มเกิดขึ้น

                8. ทดลองทำเป็นเวลาสั้นๆ การตั้งเป้าหมายว่าจะไม่บ่นอีกเลย อาจก่อให้เกิดผลตรงข้าม แทนที่จะทำแบบนั้น ให้กำหนดช่วงเวลาที่คุณสามารถตั้งสติมากเป็นพิเศษ อย่างเช่น ตั้งใจว่าจะเลิกบ่น 1 วัน ยิ่งเวลาน้อยเท่าไร ก็ยิ่งช่วยให้คุณจดจ่อต่อเป้าหมายได้มากขึ้นเท่านั้น การทดลองทำในเวลาสั้นๆ จะช่วยประคับประคองและเพิ่มความละเอียดรอบคอบ

                การบ่นอย่างไร้สติสนองวัตถุประสงค์ในชีวิตของเราเพียงน้อยนิด มันค้ำจุนความขุ่นเคือง แพร่กระจายพลังงานลบ จุดประกายความขัดแย้ง เราจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นหากไม่บ่น ก้าวต่อไป ตระหนักรู้ และยอมรับด้านบวกแทน


What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...