วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2562

มินิมอลลิสม์ที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างไร


บทความต้นฉบับ What is Rational Minimalism?
ผู้เขียน JOSHUA BECKER

                บางคนที่ผมสนทนาด้วยรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำว่ามินิมอลลิสม์ สำหรับพวกเขาคำนี้ปลุกภาพความขาดแคลน ผนังที่ดูแห้งแล้ง ตู้อันว่างเปล่า ก็อาจใช่ พวกเขาตัดสินว่าไม่มีทางจะรื่นรมย์กับชีวิต พวกเขาดูเหมือนสันนิษฐานว่าการลดน้อยลงคือการโยนทิ้งไปทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด แทบจะทุกอย่าง มินิมอลลิสม์ไม่เหมือนที่พวกเขาคิด มันคือการใช้ชีวิตโดยครอบครองน้อยลง ตามที่ผมมักพูดเสมอว่า “น้อยลงต่างจากไม่มีอะไรเลย”




                มินิมอลลิสม์คือความตั้งใจให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด และขจัดทุกสิ่งที่ขัดขวางสิ่งนั้นออกไป คือการใช้ชีวิตกับสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละคนเสมอ

                ถ้าคุณเดินเข้าไปในบ้านผมทุกวันนี้ คุณจะไม่คาดเดาในทันทีว่าครอบครัวมินิมอลลิสต์อาศัยอยู่ที่นี่ ในห้องนั่งเล่นของพวกเรา คุณจะพบที่นั่งสำหรับ 5 คน ภาพครอบครัว พรม โต๊ะกาแฟ นาฬิกาแขวนผนัง และโทรทัศน์ ในตู้เสื้อผ้าคุณจะพบเสื้อแจ็กเก็ต หมวกเบสบอลล์ และเครื่องนุ่งห่มสำหรับฤดูหนาวบางส่วน ในห้องของลูกๆ คุณจะพบหนังสือ อุปกรณ์ทำงานประดิษฐ์ กลองชุด บ้านเป็นระเบียบไม่รกรุงรังแต่ไม่ว่างเปล่า

                พวกเราใฝ่หาชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ ทว่าในขณะเดียวกันพวกเรายังคงใช้ชีวิต ยังคงหายใจ เป็นมนุษย์ที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา การใช้ชีวิตคือการบริโภค พวกเรายังต้องครอบครองสิ่งของ ทว่าพยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมข้าวของมากเกินควร นั่นคือความหมายของคำว่า “มินิมอลลิสม์อันสมเหตุสมผล” ที่ผมใช้ มันคือหนทางสู่การครอบครองน้อยลง ผมไม่ได้สนับสนุนให้ขจัดทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถครอบครองได้ทิ้งไป ไม่มีกฎตายตัวให้ทำตาม  ผมสนับสนุนให้ผู้คนทิ้งสิ่งไม่จำเป็น เพื่อให้พวกเขาสามารถไขว่คว้าเป้าหมายของชีวิตได้ดียิ่งขึ้น กระบวนการนี้เรียกร้องให้ใช้เหตุผล ความตั้งใจ การแยกแยะว่าอะไรจะเก็บอะไรจะทิ้ง ตลอดทั้งกระบวนการ

                ขอใช้ชีวิตของผมเป็นตัวอย่าง ครอบครัวของผมอาศัยอยู่ในชานเมืองฟินิกส์ มีลูกวัยรุ่น 2 คน พวกเราเข้าร่วมกับชุมชน ชอบสร้างความสนุกสนาน ชอบมอบน้ำใจไมตรี รวมทั้งเป็นเจ้าภาพต้อนรับสมาชิกกลุ่มเล็กจากโบสถ์ที่ห้องนั่งเล่น พวกเราชอบเวลาลูกๆ พาเพื่อนๆ มาเล่นที่บ้าน ผมเป็นนักเขียน ภรรยาของผมเป็นนักบัญชี ชีวิตของพวกเราไม่เหมือนคนอื่น

                หากเราเปลี่ยนเป็นมินิมอลลิสต์ เราก็ต้องเป็นมินิมอลลิสต์ในแบบของเราโดยเฉพาะ ซึ่งเรียกร้องให้ตั้งคำถาม ให้และรับ ระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุด และผ่อนปรนพอจะเปลี่ยนแนวทางเมื่อจำเป็น มันต้องเป็นมินิมอลลิสม์ในแบบที่ให้อิสระเราไขว่คว้าสิ่งที่หลงใหล ขณะเดียวกันก็ละทิ้งทุกสิ่งที่กีดขวางเราจากเป้าหมายนั้น

                มินิมอลลิสม์ที่ส่งผลดีต่อพวกเรา แทบจะต่างจากมินิมอลลิสม์ที่ส่งผลดีต่อคุณอย่างสิ้นเชิง ค้นหาหนทางมินิมอลลิส์ที่เหมาะสมกับคุณ แนวทางที่ไม่ยุ่งยาก ทว่ามีอิสระและมีรากฐานจากสิ่งที่คุณให้ค่า ที่คุณปรารถนาและหลงใหล

                ผมหลงใหลในจิตวิญญาณ ในครอบครัวของผม ในความรัก และการโน้มน้าวใจผู้อื่น ผมให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เหนือสิ่งอื่นใด มินิมอลลิสม์คือเครื่องมือทำให้ได้สิ่งเหล่านี้มา มันขจัดอุปสรรคทางกายภาพออกไป ดังนั้นผมจึงสามารถค้นพบสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม ผมขจัดบางอย่างออกไปอย่างไร้ปราณี เพื่อจะได้จริงใจต่อเป้าหมายของผม แต่ถ้าของบางอย่างช่วยให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ผมจะเก็บไว้และใช้มัน โดยไม่รู้สึกผิดกับของเหล่านั้นเลย

                คุณอาจเป็นเหมือนกันเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางมินิมอลลิสม์ อย่าเข้าใจผิดด้วยการคิดว่าคุณต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีอะไรเลย ขอให้ใช้ชีวิตกับข้าวของอะไรก็ตาม ที่มอบชีวิตในแบบที่คุณต้องการ นี่คือแนวทางอันสมเหตุสมผลสู่การครอบครองให้น้อยลง มันคือหนทางเดียวที่จะมอบอิสระให้คุณได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เส้นทางมินิมอลลิสม์ของแอดมิน


บทความนี้เล่าเรื่องมินิมอลลิสม์ของแอดมินแบบคร่าวๆ จ้า      

         ตอนแรกเราไม่ได้เริ่มจากมินิมอลลิสม์โดยตรง เริ่มจากการซื้อหนังสือ “ชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านครั้งเดียว” ของคนโด มาริเอะมาอ่าน เพราะอ.ที่มหาลัยกับรุ่นพี่แนะนำว่าดี อ่านไปได้ไม่มากก็เลิกอ่าน เพราะรู้สึกว่าเป็นนามธรรมเกินไป ต่อมาไปปฏิบัติธรรม 2 เดือน ช่วงกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมปี 2561 ตอนนั้นใช้ชีวิตแบบ extreme minimalist โดยที่ยังไม่รู้จักคำว่ามินิมอลลิสม์ เรามีข้าวของเท่าที่จำเป็นจริงๆ ใส่ชุดขาวเหมือนเดิมทุกวัน  ประสบการณ์ช่วง 2 เดือนนั้น ทำให้รู้ว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตโดยมีข้าวของจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็นได้ ของทุกอย่างมีไว้เพื่อใช้จริงๆ ไม่ได้มีเพื่อความสวยงามหรือเอาไว้อวดคนอื่น หรือเอาไว้สร้างภาพลักษณ์ให้ตนเอง



(ขอยืมภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/113364115599296315/)


                พอกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ นิสัยเดิมๆ ก็กลับมา แต่ประสบการณ์ extreme minimalist ในช่วงนั้น ทำให้เกิดคำถามบางอย่าง ที่อยากทำความเข้าใจ จึงอ่านหนังสือชีวิตดีขึ้นทุกด้านด้วยการจัดบ้านครั้งเดียวจนจบ แล้วซื้อหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไปมาอ่านเพิ่ม แล้วก็พบว่าการใช้ชีวิตช่วงปฏิบัติธรรม เป็นรูปแบบที่ใกล้เคียงกับมินิมอลลิสต์สาย extreme ที่มีข้าวของเท่าที่จำเป็นจริงๆ หลังจากอ่านหนังสือสองเล่ม บวกกับอ่านประสบการณ์จัดบ้านแนวคมมาริของรุ่นพี่ เรารู้สึกชอบแนวทางแบบคมมาริมากกว่า เพราะเก็บไว้เฉพาะของสำคัญที่ทำให้เรามีความสุข จำนวนของที่มีจึงมากกว่าแนวทางของหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ซึ่งมีข้าวของเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

                หลังจากตัดสินใจแล้ว ก็ทำการจัดบ้านแบบรวดเดียวจบตามแนวทางคมมาริ ใช้เวลาสองเดือนกว่า ทิ้งและบริจาคข้าวของไปจำนวนมาก แล้วก็ทดลองใช้เสื้อผ้าชิ้นหลักเพียง 20 ชิ้น มี 4 สี คือขาว เทา ดำ น้ำเงิน เก็บบางส่วนไว้อีกฝั่งของตู้เสื้อผ้า เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถอยู่ได้โดยมีเสื้อผ้าชิ้นหลักเพียง 20 ชิ้นหรือไม่ จากวันนั้นผ่านไปหนึ่งปีแล้ว พบว่าเสื้อผ้าชิ้นหลัก 20 ชิ้นเพียงพอ หลังจากจัดบ้านแบบคมมาริ ห้องของเราก็ไม่กลับมารกอีกเลย ชีวิตไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ ไม่ได้มีเหตุการณ์ดีๆ อะไรเกิดขึ้นเหมือนชื่อหนังสือ สิ่งที่ดีคือนิสัยดีขึ้น เป็นระเบียบมากขึ้น ของไม่หาย หาของเจอเสมอเพราะเก็บที่เดิมทุกครั้ง แล้วก็ทำความสะอาดบ้านง่ายขึ้นด้วย

                ในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปี 2561 เราไปปฏิบัติธรรมอีก 2 เดือน ผู้คนในชุมชมผู้ปฏิบัติธรรมจะมีข้าวของจำนวนน้อยเท่าที่จำเป็นจริงๆ และแต่งกายอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิมทุกวัน จึงไม่มีการเปรียบเทียบเรื่องสิ่งของระหว่างกัน ซึ่งทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องพยายามซื้อข้าวของเพื่อทำให้ตัวเองดูสวยดูดี เพื่อให้ใครประทับใจ แม้ไม่ต้องเปรียบเทียบเรื่องข้าวของ แต่เราก็ยังเปรียบเทียบอย่างอื่นที่เป็นนามธรรมกว่า อย่างความสามารถ บางทีก็มีความหยิ่งทะนง บางทีก็รู้สึกด้อยค่า

                หลังจากกลับมาใช้ชีวิตปกติ คำกล่าวของผู้เขียนหนังสืออะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ที่ว่าเขารู้สึกเป็นอิสระ เมื่อไม่ต้องเปรียบเทียบความสามารถของตัวเองกับผู้อื่น ทั้งยังกล่าวว่าความสามารถก็เช่นเดียวกับสิ่งของ มันไม่ใช่สิ่งบ่งบอกคุณค่าของตนเอง ข้อความเหล่านี้ทำให้เราอยากเข้าใจมินิมอลลิสม์ในแง่ทัศนคติเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องเทคนิควิธีการลดปริมาณกับจัดเก็บข้าวของ เราคิดว่าตัวเองทำได้ดีพอแล้ว โดยทำตามวิธีคมมาริ การศึกษามินิมอลลิสม์ของเราจึงมุ่งไปที่การทำความเข้าใจแนวคิดและทัศนคติ

                พอได้อ่านบทความและดูยูทูปของมินิมอลลิสต์ชาวต่างชาติ ก็พบว่าปัญหาที่ตัวเองมี มินิมอลลิสต์บางคนก็มีเหมือนกัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการซื้อของบางอย่างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นประทับใจ ละเอียดขึ้นมาหน่อย คือการทำบางอย่างที่ตัวเองไม่ได้อยากทำจริงๆ และไม่ได้สำคัญกับตัวเอง เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองและทำให้คนอื่นประทับใจ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมาชิกในบ้าน ซึ่งเราพบว่าการทำแบบนี้ไม่มีเคยสำเร็จจริงๆ สักที และมีแต่นำความทุกข์มาให้

                เราเรียนรู้จากมินิมอลลิสต์คนอื่นที่มีปัญหาเดียวกัน และลองทำตาม โดยการถามว่าสิ่งที่อยากซื้อ หรือต้องทำ มีความสำคัญต่อตัวเองจริงหรือไม่ สิ่งนั้นหรือการกระทำนั้น สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตตัวเองไหม เราซื้อหรือทำบางสิ่งเพื่อให้คนอื่นนิยมชมชอบหรือเปล่า การถามคำถามอย่างรอบคอบ ทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีปัญหานี้ มีเพื่อนบางคนที่ไม่มีปัญหานี้เลย และไม่เข้าใจว่าเราทำแบบนั้นไปทำไม มินิมอล ลิมส์ช่วยนำทัศนคติผิดๆ ที่สร้างความทุกข์แก่เราออกไป ทำให้เราทุกข์น้อยลง

                ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ให้กับคนที่ต้องการ แต่ตัวเองยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงใช้การแปลบทความจากมินิมอลลิสต์ต่างประเทศ ที่ลงในบล็อกสาธารณะ เป็นภาษาไทย คิดว่าเขาคงไม่ว่าอะไร เพราะเขียนให้อ่านฟรีอยู่แล้ว งานแปลเป็นงานที่เราพอจะทำได้เพื่อเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับมินิมอลลิสม์ อยากเขียนเองด้วย แต่เขียนเองต้องคิดมากกว่า ตอนนี้จึงมีแค่รีวิวหนังสือ

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...