แปลจากหนังสือ The More of Less
เขียนโดย Joshua Becker
การมีข้าวของน้อยลง ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าการมีข้าวของเพิ่มขึ้น ในโลกที่เอาแต่บอกซ้ำๆ
ให้เราซื้อของมากขึ้น ทำให้เราสูญเสียความเข้าใจนี้ไป แต่ลองครุ่นคิดถึงสิ่งดีๆ
ที่ได้รับมาในชีวิตสิ คุณสามารถตอบแทนทุกๆ คน ในทุกพื้นที่ได้ หากคุณทำตามหลักการมินิมอลลิสม์ที่กล่าวไว้ในหนังสือ
The More of Less
*
มีเวลาและพลังงานมากขึ้น : ไม่ว่าการพยายามหาเงินเพื่อซื้อสิ่งที่อยากได้
การหาข้อมูล การซื้อ การทำความสะอาด การจัดเก็บ การซ่อมแซม การหาสิ่งอื่นมาทดแทน
หรือการขายไป ข้าวของที่เราครอบครองต่างสูบเอาเวลาและพลังงานของเราไป
ยิ่งมีข้าวของน้อยลงเท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาและพลังงานเหลือเอาไว้อุทิศให้กับการแสวงหาสิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
*
มีเงินมากขึ้น : เป็นที่แน่ชัดว่า
การซื้อของน้อยลง ทำให้เราใช้เงินน้อยลง เราไม่เพียงจ่ายเงินตอนซื้อของครั้งแรกเท่านั้น
แต่ยังต้องจ่างเงินเพื่อดูแลรักษาข้าวของเหล่านั้นอีกด้วย เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินของคุณ
จึงไม่ได้มาจากการครอบครองมากขึ้น แต่มาจากการครอบครองให้น้อยลง
*เอื้ออาทรมากขึ้น
: การลดความโลภ และใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยน้อยลง ทำให้เราสามารถสนับสนุนองค์กรการกุศลที่เราสนใจได้มากขึ้น
เงินของเราจะมีค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกใช้จ่าย
เรามีโอกาสมากมายที่จะใช้เงินให้มีคุณค่ามากกว่าการสะสมสิ่งของ
*
มีอิสรภาพมากขึ้น : ข้าวของที่มากเกินไป มีอำนาจทำให้เราตกเป็นทาสของพวกมัน
ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน ข้าวของต่างๆ เป็นภาระและยากต่อการขนส่ง
พวกมันคอยถ่วงจิตวิญญาณของเรา ทำให้รู้สึกหนักอึ้ง ในทางกลับกัน
ทุกครั้งที่เราขจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นออกไป เราได้รับอิสรภาพกลับคืนมาทีละนิด
*
เครียดน้อยลง : ทุกครั้งที่เราเพิ่มจำนวนข้าวของ
ก็เท่ากับเพิ่มความกังวลเข้ามาในชีวิต ลองสร้างจินตนาการขึ้นมาในใจว่ามีห้อง 2
ห้อง ห้องแรกเต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ อีกห้องสะอาดเป็นระเบียบ
มีสิ่งของบางตา ห้องไหนทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย ห้องไหนทำให้คุณรู้สึกสงบ
ความรกบวกกับความล้น เท่ากับความเครียด
*
วอกแวกน้อยลง : ทุกสิ่งที่รายล้อมเรา
ต่างแข่งขันกันดึงความสนใจจากเรา สิ่งล่อใจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สามารถรวมตัวกัน ขัดขวางไม้ให้เราจดจ่อกับสิ่งที่เราห่วงใย
แล้วคุณยังอยากได้สิ่งล่อใจมากขึ้นอีกหรือ
*
ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง : การบริโภคเกินจำเป็น เร่งการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติ การบริโภคน้อยลง
ทำให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง จึงเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเราในอนาคต
*
ใช้ของที่มีคุณภาพมากขึ้น : การซื้อของจำนวนน้อยลง
ทำให้คุณสามารถซื้อของที่มีคุณภาพมากขึ้นเมื่อคุณต้องการซื้อ
มินิมอลลิสม์ไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียว
แต่เป็นปรัชญาที่เสนอว่าการครอบครองมากขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ดี การครอบครองสิ่งที่มีคุณภาพต่างหากที่ดี
*
เป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชน :
อะไรคือคำ 3 คำที่เด็กๆ มักได้ยินจากคุณ “พ่อรักลูก” หรือ “พ่ออยากได้นั่น” “มันกำลังลดราคา”
“ไปซื้อของกันเถอะ” เราจำเป็นต้องวางกรอบความคิดให้เด็กๆ
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันกระแสบริโภคนิยมที่ประเดประดังเข้ามาหาพวกเขา
*
สร้างภาระให้ผู้อื่นน้อยลง : ถ้าเราไม่จัดระเบียบหรือลดปริมาณข้าวของ
เมื่อเราเสียชีวิตหรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนที่เรารัก
ต้องมารับภาระนั้นแทน เราสามารถแบ่งเบาภาระผู้อื่น โดยการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์
*
เปรียบเทียบน้อยลง : พวกเรามีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นที่อยู่รายล้อม
ประกอบกับความปรารถนาซึ่งถูกติดตั้งอยู่ภายใน ที่อยากทำให้คนอื่นประทับ ด้วยการครอบครองทรัพย์สินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างที่ วิล โรเจอส์ (Will Rogers) กล่าวว่า เรามีสูตรยารักษาความทุกข์ เมื่อเราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะครอบครองสิ่งของน้อยลง
เราได้เริ่มออกจากการแข่งขันที่ไม่มีวันชนะแล้ว
*
รู้สึกพึงพอใจมากขึ้น : เรามีแนวโน้มคิดว่าตนเองเป็นทุกข์เพราะไม่มีข้าวของบางอย่าง
หากเราได้ครอบครองของชิ้นนั้น เราจะรู้สึกพอใจ ทว่าการครอบครองสิ่งของไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาในใจเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจหลังซื้อของ เราสามารถมองเห็นสาเหตุแท้จริง ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจได้
หลังจากตั้งใจทำลายวงจรการสะสมข้าวของแล้วเท่านั้น