วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2562

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake







               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้  ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

                มินิมอลลิสม์ก็เหมือนปรัชญาส่วนใหญ่ ที่สามารถให้คำอธิบายได้อย่างหลากหลาย อาจมีบางคนฝึกฝนใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์โดยการมีข้าวของแค่ 100 ชิ้น หรืออาจน้อยกว่า 50 ชิ้น บางคนอาจฝึกโดยการแขวนภาพวาดเพียงชิ้นเดียวบนผนังแต่ละด้านในแมนชั่น ไม่สำคัญว่าคุณฝึกใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์แบบไหน ทว่ามีสิ่งสำคัญมากข้อหนึ่งที่ต้องจดจำไว้

                มีข้อผิดพลาดร่วมประการหนึ่งที่ผมมักพบเจอ นั่นคือบางคนใช้มินิมอลลิสม์เพื่อสร้างมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ไม่มีทางเอื้อมถึงขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง ในช่วงปลายปี โฆษณาใช้งบประมาณกว่าหกร้อยล้านดอลล่าห์ เพื่อสร้างภาพมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ไม่มีทางเป็นไปได้ขึ้นมา จากนั้นก็พยายามทำให้เราเชื่อว่าเราสามารถไปถึงมาตรฐานนั้นได้ โดยการซื้อของจากพวกเขา พวกเขาสร้างภาพวิถีชีวิต ภาพความสุข และแนวคิดต่างๆ ขึ้นมา แล้วกล่าวว่าพวกเราสามารถมีสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าซื้อของที่พวกเขาขาย ซึ่งมันไม่จริงเลย

                ดังนั้น อย่าทำให้มินิมอลลิสม์กลายเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ยากจะเอื้อมถึง ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าต้องพยายามอย่างหนัก หรือเป็นอะไรบางอย่าง เช่น กำแพงสีขาวหมดจด ผ้าคลุมเตียงสีขาวล้วน เต็มไปด้วยแสงสว่างจากธรรมชาติ มินิมอลลิสม์ไม่จำเป็นต้องเหมือนแบบนั้น หากคุณต้องการก็ทำได้ แต่นั่นไม่ใช่รูปแบบมินิมอลลิสม์ที่คุณต้องทำตาม

                เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณต้องตระหนักว่า คุณไม่จำเป็นต้องซื้อผ้าคลุมเตียงหรือโต๊ะตัวใหม่ที่มีลักษณะมินิมอลลิสม์มากขึ้น บางทีมันอาจเป็นทางเลือกที่ดีระหว่างทาง แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อให้ได้รับอิสระภาพจากการบริโภคและครอบครองวัตถุน้อยลงมอบให้คุณ

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

ประโยชน์อันเป็นสากลของมินิมอลลิสม์ The Universal Benefits of Minimalism



แปลจากหนังสือ The More of  Less
เขียนโดย Joshua Becker 

                การมีข้าวของน้อยลง ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าการมีข้าวของเพิ่มขึ้น ในโลกที่เอาแต่บอกซ้ำๆ ให้เราซื้อของมากขึ้น ทำให้เราสูญเสียความเข้าใจนี้ไป แต่ลองครุ่นคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ได้รับมาในชีวิตสิ คุณสามารถตอบแทนทุกๆ คน ในทุกพื้นที่ได้ หากคุณทำตามหลักการมินิมอลลิสม์ที่กล่าวไว้ในหนังสือ The More of Less




                * มีเวลาและพลังงานมากขึ้น : ไม่ว่าการพยายามหาเงินเพื่อซื้อสิ่งที่อยากได้ การหาข้อมูล การซื้อ การทำความสะอาด การจัดเก็บ การซ่อมแซม การหาสิ่งอื่นมาทดแทน หรือการขายไป ข้าวของที่เราครอบครองต่างสูบเอาเวลาและพลังงานของเราไป ยิ่งมีข้าวของน้อยลงเท่าไร ก็ยิ่งมีเวลาและพลังงานเหลือเอาไว้อุทิศให้กับการแสวงหาสิ่งสำคัญในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

                * มีเงินมากขึ้น : เป็นที่แน่ชัดว่า การซื้อของน้อยลง ทำให้เราใช้เงินน้อยลง เราไม่เพียงจ่ายเงินตอนซื้อของครั้งแรกเท่านั้น แต่ยังต้องจ่างเงินเพื่อดูแลรักษาข้าวของเหล่านั้นอีกด้วย เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินของคุณ จึงไม่ได้มาจากการครอบครองมากขึ้น แต่มาจากการครอบครองให้น้อยลง

                *เอื้ออาทรมากขึ้น : การลดความโลภ และใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยน้อยลง ทำให้เราสามารถสนับสนุนองค์กรการกุศลที่เราสนใจได้มากขึ้น เงินของเราจะมีค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเลือกใช้จ่าย เรามีโอกาสมากมายที่จะใช้เงินให้มีคุณค่ามากกว่าการสะสมสิ่งของ

                * มีอิสรภาพมากขึ้น : ข้าวของที่มากเกินไป มีอำนาจทำให้เราตกเป็นทาสของพวกมัน ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการเงิน ข้าวของต่างๆ เป็นภาระและยากต่อการขนส่ง พวกมันคอยถ่วงจิตวิญญาณของเรา ทำให้รู้สึกหนักอึ้ง ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่เราขจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นออกไป เราได้รับอิสรภาพกลับคืนมาทีละนิด

                * เครียดน้อยลง : ทุกครั้งที่เราเพิ่มจำนวนข้าวของ ก็เท่ากับเพิ่มความกังวลเข้ามาในชีวิต ลองสร้างจินตนาการขึ้นมาในใจว่ามีห้อง 2 ห้อง ห้องแรกเต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ อีกห้องสะอาดเป็นระเบียบ มีสิ่งของบางตา ห้องไหนทำให้คุณรู้สึกกระวนกระวาย ห้องไหนทำให้คุณรู้สึกสงบ ความรกบวกกับความล้น เท่ากับความเครียด

                * วอกแวกน้อยลง : ทุกสิ่งที่รายล้อมเรา ต่างแข่งขันกันดึงความสนใจจากเรา สิ่งล่อใจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สามารถรวมตัวกัน ขัดขวางไม้ให้เราจดจ่อกับสิ่งที่เราห่วงใย แล้วคุณยังอยากได้สิ่งล่อใจมากขึ้นอีกหรือ

                * ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง : การบริโภคเกินจำเป็น  เร่งการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติ การบริโภคน้อยลง ทำให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง จึงเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของเราในอนาคต

                * ใช้ของที่มีคุณภาพมากขึ้น : การซื้อของจำนวนน้อยลง ทำให้คุณสามารถซื้อของที่มีคุณภาพมากขึ้นเมื่อคุณต้องการซื้อ มินิมอลลิสม์ไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียว แต่เป็นปรัชญาที่เสนอว่าการครอบครองมากขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ดี การครอบครองสิ่งที่มีคุณภาพต่างหากที่ดี

                * เป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชน : อะไรคือคำ 3 คำที่เด็กๆ มักได้ยินจากคุณ “พ่อรักลูก” หรือ “พ่ออยากได้นั่น” “มันกำลังลดราคา” “ไปซื้อของกันเถอะ” เราจำเป็นต้องวางกรอบความคิดให้เด็กๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันกระแสบริโภคนิยมที่ประเดประดังเข้ามาหาพวกเขา

                * สร้างภาระให้ผู้อื่นน้อยลง : ถ้าเราไม่จัดระเบียบหรือลดปริมาณข้าวของ เมื่อเราเสียชีวิตหรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  คนอื่น ซึ่งอาจเป็นคนที่เรารัก ต้องมารับภาระนั้นแทน เราสามารถแบ่งเบาภาระผู้อื่น โดยการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์

                * เปรียบเทียบน้อยลง : พวกเรามีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่นที่อยู่รายล้อม ประกอบกับความปรารถนาซึ่งถูกติดตั้งอยู่ภายใน ที่อยากทำให้คนอื่นประทับ ด้วยการครอบครองทรัพย์สินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  อย่างที่ วิล โรเจอส์ (Will Rogers) กล่าวว่า เรามีสูตรยารักษาความทุกข์ เมื่อเราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะครอบครองสิ่งของน้อยลง เราได้เริ่มออกจากการแข่งขันที่ไม่มีวันชนะแล้ว

                * รู้สึกพึงพอใจมากขึ้น : เรามีแนวโน้มคิดว่าตนเองเป็นทุกข์เพราะไม่มีข้าวของบางอย่าง หากเราได้ครอบครองของชิ้นนั้น เราจะรู้สึกพอใจ ทว่าการครอบครองสิ่งของไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาในใจเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจหลังซื้อของ เราสามารถมองเห็นสาเหตุแท้จริง ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจได้ หลังจากตั้งใจทำลายวงจรการสะสมข้าวของแล้วเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562

มินิมอลลิสม์ คืออะไร What Is Minimalism? by Joshua Fields Millburn & Ryan Nicodemus


เขียนโดย Joshua Fields Millburn & Ryan Nicodemus

สามารถอ่านบทความต้นฉบับได้ที่ https://www.theminimalists.com/minimalism/







                มินิมอลลิสม์คืออะไร มันเรียบง่ายมาก การจะเป็นมินิมอลลิสม์  คุณต้องมีข้าวของน้อยกว่า 100 ชิ้น คุณต้องไม่มีรถ บ้าน หรือโทรทัศน์ ต้องไม่ทำงานประจำ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ห่างไกลทั่วโลกซึ่งมีชื่อเรียกยาก คุณต้องเริ่มเขียนบล็อก คุณต้องไม่มีลูก และต้องเป็นชายหนุ่มผิวขาวจากครอบครัวอภิสิทธิ์ชน

                โอเค เราแค่ล้อเล่น จริงๆ นะ กระนั้นคนที่มองว่ามินิมอลลิสม์เป็นกระแสแฟชั่นอย่างหนึ่ง มักให้คำนิยามมินิมอลลิสม์ตามข้อความที่ยกมาข้างต้น และกล่าวว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางเป็นมินิมอลลิสต์ อันที่จริง มิมอลลิสม์ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ทว่ามันอาจช่วยให้คุณทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จ ถ้าคุณตัดสินใจใช้ชีวิตโดยมีข้าวของน้อยชิ้น ไม่มีรถ ไม่มีโทรทัศน์ หรือเดินทางรอบโลก มินิมอลลิสม์ช่วยคุณได้ แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์

                มินิมอลลิสม์คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณค้นพบอิสรภาพ อิสระจากความกลัว จากความกังวล จากการครอบงำ จากความรู้สึกผิด เป็นอิสระจากวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่รายล้อมชีวิตเรา ให้อิสระเราอย่างแท้จริง

                นั่นไม่ได้แปลว่าการครอบครองวัตถุสิ่งของมีความผิดโดยตัวมันเอง ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากการให้ความหมายต่อสิ่งของที่เราครอบครองต่างหาก เรามีแนวโน้มจะให้ความหมายแก่ทรัพย์สมบัติมากเกินไป กระทั่งละเลยสุขภาพ มิตรภาพ ความปรารถนาจากส่วนลึก ความงอกงามในฐานะปัจเจกบุคคล ความใส่ใจต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากตนเอง   อยากมีบ้านและรถงั้นหรือ เยี่ยม จงมีมัน อยากสร้างครอบครัวและทำงานประจำงั้นหรือ ถ้าสิ่งเหล่านี้สำคัญต่อคุณ งั้นก็วิเศษเลย มินิมอลลิสม์เพียงแค่ช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมีสติและรอบคอบมากขึ้น




                มีมินิมอลลิสต์ผู้ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบตามที่พวกเขาให้คุณค่า ลีโอ (Leo) เพื่อนของเรามีภรรยาและลูก 6 คน โจชัว เบ็กเกอร์ (Joshua Becker) ทำงานที่เขามีความสุข อยู่กับครอบครัวที่เขารัก มีรถและบ้านที่ชานเมือง ตรงข้ามกับ โคลิน ไรท์ (Colin Wright) ที่มีข้าวของแค่ 51 ชิ้น และเดินทางรอบโลก แทมมี่ สตรอเบล (Tammy Strobel) และสามีของเธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก และไม่ใช้รถยนต์เลย แม้ผู้คนเหล่านี้แตกต่างกันมาก  แต่พวกเขามี 2 สิ่งร่วมกัน พวกเขาเป็นมินิมอลลิสต์ มินิมอลลิสม์ทำให้พวกเขามุ่งหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในชีวิต

                ทว่าคนเหล่านี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน พวกเขายังคงเป็นมินิมอลลิสต์ได้อย่างไร นั่นนำเรากลับมาสู่คำถามเริ่มต้น มินิมอลลิสม์คืออะไร หากเราสรุปให้เหลือ 1 ประโยค อาจกล่าวได้ว่า มินิมอลลิสม์คือเครื่องมือขจัดส่วนเกินออกไปจากชีวิต เพื่อช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งสำคัญ ดังนั้น คุณจึงได้พบกับความสุข ความรู้สึกเต็มอิ่ม และอิสรภาพ

                ขจัดสิ่งที่เราไม่ชอบใจออกไป
                นำเวลาของเรากลับคืนมา
                อยู่กับปัจจุบันขณะ
                ไล่ตามความปรารถนาจากส่วนลึก
                ค้นพบพันธกิจของชีวิต
                พบกับอิสรภาพที่แท้
                สร้างสรรค์มากขึ้น บริโภคน้อยลง
                ใส่ใจสุขภาพ
                เจริญงอกงามในฐานะปัจเจกบุคคล
                ให้ความสำคัญต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากตนเอง
                ขจัดส่วนเกินออกไป
                ค้นพบจุดมุ่งหมายของชีวิต

                การนำมินิมอลลิสม์มาหลอมรวมกับการใช้ชีวิต ทำให้เราค้นพบความสุขอันยั่งยืนได้ในที่สุด นั่นคือสิ่งที่เรากำลังมองหาไม่ใช่หรือ พวกเราทุกคนต้องการความสุข มินิมอลลิสม์ไม่ได้แสวงหาความสุขจากสิ่งของ แต่แสวงหาจากภายในชีวิตเอง ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณว่าอะไรสำคัญ อะไรเป็นส่วนเกิน

                พวกเรามีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ โดยไม่ต้องทำตามหลักการเข้มงวดตายตัว หรือกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นตามอำเภอใจ คำเตือน ถึงแม้การออกเดินก้าวแรกจะไม่ง่าย แต่ยิ่งคุณก้าวไปไกลในหนทางของมินิมอลลิสม์มากเท่าไร ก็จะยิ่งง่ายขึ้น และได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น ก้าวแรกมักต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เสมอ ทั้งในวิธีคิด การกระทำ รวมทั้งนิสัยของคุณ อย่าได้กลัดกลุ้มไป เราอยากช่วยเหลือ จึงได้ทำสารคดีเกี่ยวกับประสบการณ์ของเรา คุณจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและความสำเร็จของเรา ประยุกต์ใช้สิ่งที่เราได้เรียนรู้เข้ากับสถานการณ์ของคุณ เพื่อช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2562

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร







               มินิมอลลิสม์คืออะไร ในระดับผิวเผิน มินิมอลลิสม์คือการมีทรัพย์สินและข้าวของจำนวนน้อย อันที่จริง เมื่อคุณเริ่มพิจารณาให้ดีจะพบว่ามันเป็นมากกว่านั้น ผมให้คำนิยามมินิมอลลิสม์ว่าเป็นเจตนาให้ความสำคัญ ต่อสิ่งที่เราให้คุณค่าสูงสุด โดยขจัดสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวออกไป ในแง่นี้ มินิมอลลิสม์จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจตนารมณ์

                พวกเราอาศัยอยู่ในโลกที่ต้องพบเจอโฆษณากว่า 5,000 ชิ้นเป็นประจำทุกวัน โฆษณาทุกชิ้นพยายามเรียกร้องความสนใจและความชื่นชอบจากเรา มินิมอลลิสม์คือการปฏิเสธข้อความเหล่านั้น และทำให้เราได้กลับมาควบคุมการใช้ชีวิตของตนเองอีกครั้ง โดยการใช้เงิน เวลา และพลังงานย่างรอบคอบ

                นอกจากนั้น มินิมอลลิสม์ยังขัดแย้งกับวัฒนธรรมกระแสหลักอีกด้วย สังคมของเราสรรเสริญการบริโภคที่มากเกินจำเป็นในทุกแง่มุม มินิมอลลิสม์ปฏิเสธแนวคิดเหล่านั้น ทำให้ตระหนักว่าการมีมากเกินจำเป็น ความจริงคือการแบกภาระหนักอึ้ง นอกจากนั้นมิมอลลิสม์ยังเป็นเรื่องของเจตนารมณ์และความปรารถนาอีกด้วย

                มินิมอลลิสม์ปฏิเสธแนวคิดว่าเราสามารถค้นพบความสุขและการเติมเต็มจากการครอบครองทรัพย์สมบัติ มินิมอลลิสม์คือการตระหนักว่าชีวิตของเราถูกสร้างและออกแบบมาให้มีคุณค่ากว่านั้น ยังมีที่ที่ดีกว่าให้ค้นพบความสุขและการเติมเต็ม มันคือการขจัดข้าวของและสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวออกไป เพื่อแสวงหาคุณค่าของตนเองให้มากยิ่งขึ้น นี่คือมินิมอลลิสม์ มันเป็นมากกว่าการมีข้าวของน้อยชิ้น แต่เป็นการนำอำนาจการควบคุมชีวิตตนเองกลับคืนมา คือการค้นพบเป้าหมายและแรงปรารถนาที่ยิ่งใหญ่กว่า รวมทั้งชีวิตที่ดีกว่าที่เคยจินตนาการไว้

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

ขอบคุณที่ใช้กระติกน้ำ/แก้วน้ำส่วนตัวค่ะ

มาใช้กระติกน้ำหรือแก้วน้ำส่วนตัวซื้อเครื่องดื่ม หรือใส่เครื่องดื่มแทนการซื้อเครื่องดื่มบรรจุขวดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งกันเถอะค่ะ การใช้ภาชนะส่วนตัวมีประโยชน์มากมาย ตามที่จะกล่าวถึงต่อไปค่ะ





1. ได้รับส่วนละ 5-10 บาทเวลาซื้อเครื่องดื่มตามร้านต่างๆ
2. ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก สมมมุติว่าซื้อเครื่องดื่มทุกวัน หากใช้กระติกน้ำ/แก้วน้ำส่วนตัว ก็สามารถช่วยไม่ให้เกิดขยะแก้วพลาสติกตั้ง 365 ใบ/ขวด
3. สมมุติว่าซื้อกระติกหรือแก้วน้ำมาในราคา 500 บาท สมมุติว่าได้ส่วนลดเวลาซื้อเครื่องดื่มครั้งละ 5 บาท ซื้อ 100 ครั้ง ก็จะได้ค่ากระติกหรือแก้วน้ำคื่นแล้ว หลังจากนั้นก็เหมือนเราได้ใช้กระติกหรือแก้วน้ำฟรี โอ้ ช่างน่าดีใจจริงๆ
4. เดี๋ยวนี้มีกระติกน้ำและแก้วน้ำสวย น่ารัก หรือออกแนวเท่ห์มากมายให้เลือกสรรตามรสนิยม การได้ใช้สิ่งของที่ตัวเองชอบ ทำให้มีความสุขไปอีกแบบนะคะ

What is Minimalism? มินิมอลลิสม์ คืออะไร

ข้อผิดพลาดประการหนึ่งของมินิมอลลิสม์ที่ควรหลีกเลี่ยง Avoid This One Minimalism Mistake

               ในวีดีโอขนาดสั้นนี้   ผมจะแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับข้องผิดพลาดประการหนึ่ง ซึ่งมักพบเจอในผู้คนที่เริ่มฝึกใช้ชีวิตแบบมิ...