ข้อดี
หนังสือที่มีความเป็นมินิมอลลิสม์(ตามความเห็นของเรา)ที่มีแปลเป็นภาษาไทยก่อนหน้านี้
ทั้งหมดเป็นการบอกเล่าแนวคิด ประสบการณ์ และวิธีการใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสต์ของผู้เขียนเพียงคนเดียว
ทว่าหนังสือ “ชีวิตดีเมื่อมีของน้อย: ปรัชญาความสุขฉบับมินิมอล” มีความหลากหลายอยู่ในเล่ม ทั้งการสัมภาษณ์และสังเกตผู้ใช้ชีวิตแบบมินิมอลลิสม์ชาวตะวันตกหลายคน
หลายครอบครัว อย่างละนิดละหน่อย ทำให้เราได้เห็นมุมมองที่มีความหลากหลาย
แต่ไม่ค่อยลึกซึ้งนัก มีการเสนอแนวคิดและข้อมูลที่มีความเป็นวิชาการผสมอยู่ โดยไม่มากเกินไปจนน่าเบื่อ
อย่างปัญหาจากวัตถุนิยม แนวคิดของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ
เบื้องหลังการตลาดที่กระตุ้นให้เราซื้อของมากขึ้นเรื่อยๆ
การสร้างความต้องการเทียมๆ และอื่นๆ ซึ่งเราชอบข้อมูลที่เขารวบรวมมา
เพราะทำให้เราได้เข้าใจภาพรวมแนวคิดวัตถุนิยมที่ครอบงำโลกอยู่ ช่วงต้นของหนังสือโน้มน้าวให้เราเห็นข้อเสียของการมีข้าวของมากเกินไปจนเกิดอาการ
“อึดอัดคับของ” และแสดงให้เห็นว่าการมีของน้อยมีข้อดีอย่างไร
สิ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยเห็นด้วย และไม่ค่อยชอบ
พอเข้าช่วงครึ่งหลัง หนังสือได้เสนอว่าเราควรแสวงหาประสบการณ์แทนการซื้อหาสิ่งของ
เพราะสิ่งของไม่สามารถมอบความสุขให้เราได้มากเท่าประสบการณ์
แนวคิดแบบนี้เราก็เคยอ่านเจอในหนังสือ “อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป”
ซึ่งบอกตามตรงว่าเราไม่อิน ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเราไม่ใช่นักแสวงหาประสบการณ์
เพื่อความสุข หนังสือชีวิตดีเมื่อมีของน้อย
เหมือนต้องการคลายความกังวลของผู้คนที่ต่อต้านมินิมอลลิสม์
เพราะกลัวว่าถ้าผู้คนซื้อของน้อยลง พวกเขาจะมีรายได้จากการขายของน้อยลง
หนังสือจึงเสนอว่าเศรษฐกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แม้ผู้คนซื้อวัตถุสิ่งของน้อยลง
โดยสนับสนุนให้ผู้คนซื้อบริการและประสบการณ์มากขึ้นแทน
ซึ่งเราคิดว่าแนวคิดนี้ทะแม่งๆ เพราะเรามองว่ามินิมอลลิสม์คือการลดทุกอย่าง
ให้เหลือเฉพาะสิ่งที่มีคุณค่าและสำคัญต่อเราจริงๆ ครอบครองข้าวของในปริมาณที่เหมาะสมต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุล
ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจแบบพอเพียง
และแนวคิดเรื่องความสันโดษที่ศาสนาหลักของโลกสนับสนุน คือเรามองว่าการแสวงหาประสบการณ์มากๆ
เพื่อความสุขนั้น ไม่ค่อยเป็นมินิมอลลิสม์ เพราะเป็นการส่งเสริมให้โลภ แต่แทนที่จะโลภสะสมวัตถุ
กลายเป็นโลภสะสมประสบการณ์แทน อีกอย่างที่ไม่ค่อยชอบ คือเรื่องการโอ้อวด ใน “บทที่
10 เฟสบุ๊คเปลี่ยนวิธีที่เราไล่ตามคนอื่น”
คนเขียนหนังสือไม่ได้มองว่าการโอ้อวดประสบการณ์ในเฟสบุ๊ค
หรือการแสวงหาประสบการณ์เพื่อมาโอ้อวดบนเฟสบุ๊คเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม
แต่กลับมาองว่าเป็นเรื่องปกติและจะมีมากขึ้นในอนาคต เราไม่ชอบตรงนี้เลย เหตุผลที่เรากลายมาเป็นมินิมอลลิสต์
เพราะเรารู้สึกทุกข์กับการซื้อสิ่งของและประสบการณ์เพื่อการโอ้อวด มันทำให้เกิดการเปรียบเทียบ
แข่งขัน ความอิจฉา ความรู้น้อยเนื้อต่ำใจ การซื้อสิ่งของรวมทั้งประสบการณ์เพื่อพยายามสร้างตัวตนในแบบที่อยากเป็น
ทำให้เราทุกข์ ซึ่งผู้เขียนหนังสือ “อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป” เข้าใจประเด็นนี้ดี
และเป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นมินิมอลลิสม์เพื่อจะเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้
แต่หนังสือชีวิตดีเมื่อมีของน้อย กลับไม่ได้ใส่ใจประเด็นนี้เลย เราจึงไม่ค่อยชอบครึ่งหลังของหนังสือเล่มนี้สักเท่าไหร่
กระนั้นก็เห็นว่าข้อมูลในครึ่งแรกมีประโยชน์ดีทีเดียว